นายกฯ เคาะ 4 แผนปรับปรุงระบบจัดการน้ำ รับมือแล้ง
สนง.ทรัพยากรน้ำฯ ชง 4 มาตรการด่วนสกัดแล้ง ตั้งหน่วยงานเจ้าภาพหลักจับคู่พื้นที่เสี่ยงภัย พร้อมเชื่อมข้อมูลแหล่งน้ำรัศมี 50 กม. ให้ 4 กระทรวงหลัก เพื่อเตรียมความพร้อมดึงน้ำใกล้เคียงเข้าช่วยเหลือ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. ได้รายงานสถานการณ์น้ำปัจจุบัน การวางแผนการบริหารจัดการน้ำ พร้อมทั้งมาตรการการแก้ไขปัญหาความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง ปี 61/62 ต่อที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) รับทราบถึงข้อมูลการคาดการณ์ปริมาณน้ำต้นทุนช่วงฤดูฝน ปี 2562 ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาและ สสนก. ได้คาดการณ์ว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญ่จะยังคงมีผลต่อเนื่องถึงเดือน เม.ย. 2562 ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยมีปริมาณฝนตกต่ำกว่าค่าปกติ
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ปริมาณฝนรวมของประเทศไทย เดือน มี.ค. 2562 มีค่าต่ำกว่าค่าปกติ 5% ภาคเหนือจะมีปริมาณฝนประมาณ 10-35 มิลลิเมตร ต่ำกว่าค่าปกติ 20% สําหรับภาคอื่น ๆ ปริมาณฝนจะต่ำกว่าค่าปกติ 10% ส่วนเดือน เม.ย. 2562 ปริมาณฝนทุกภาคส่วนใหญ่จะต่ำกว่าค่าปกติ 10% สําหรับเดือน พ.ค. ปริมาณฝนตกทั้งประเทศจะมีค่าใกล้เคียงปกติ และคาดการณ์ว่า จะเข้าสู่ฤดูฝนในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน พ.ค.
นอกจากนี้ สทนช. ยังได้เสนอที่ประชุมเกี่ยวกับมาตรการหลัก เจ้าภาพหลัก และวิธีดำเนินการบรรเทา และลดผลกระทบพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งเร่งด่วนใน 4 มาตรการหลัก ประกอบด้วย
1) แจ้งเตือนเกษตรกรงดการปลูกพืชฤดูแล้งและพืชต่อเนื่อง โดยมีกระทรวงมหาดไทยให้จังหวัดเป็นเจ้าภาพหลัก พื้นที่เป้าหมาย 21 จังหวัดในลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยเน้นสร้างการรับรู้สถานการณ์น้ำและการเพาะปลูกพืชเข้าถึงเกษตรกรโดยตรง ผ่านองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)
2) ติดตามเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค โดยมอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นเจ้าภาพหลัก พื้นที่เป้าหมาย 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ นครสวรรค์ ชัยภูมิ นครราชสีมา เลย กาญจนบุรี และราชบุรี โดยมีมาตรการจัดเตรียมรถบรรทุกน้ำ เครื่องสูบน้ำ จากหน่วยงานสนับสนุนผ่านกลไกของกองอำนวยการป้องกันและบรรเทา
สาธารณภัยจังหวัด (กอปภ.จ) ให้สามารถเข้าดำเนินการช่วยเหลือได้ทันที ซึ่ง สทนช. ได้ชี้เป้าแหล่งน้ำผิวดินและใต้ดินในรัศมี 50 กม. พร้อมจัดส่งข้อมูลให้ 4 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงกลาโหม รับทราบ เพื่อเตรียมแผนสำรองกรณีต้องดึงน้ำจากแหล่งน้ำอื่นใกล้เคียงมาสนับสนุนและบรรเทาปัญหาในฟื้นที่ประสบภัยได้ทันสถานการณ์
3) ทบทวนแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฤดูแล้ง ปี 2561/62 ให้สอดคล้องกับปรากฏการณ์เอลนีโญกำลังอ่อน โดยมอบมหายให้กรมชลประทานและกรมทรัพยากรน้ำเป็นเจ้าภาพหลัก ในพื้นที่เป้าหมาย คือ พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคทั้งในและนอกเขตการประปาภูมิภาค (กปภ.) และพื้นที่เสี่ยงการเกษตรที่เพาะปลูกเกินแผน เพื่อดำเนินการเร่งตรวจสอบความต้องการใช้น้ำแล้ววิเคราะห์สมดุลน้ำเป็นรายพื้นที่
และ 4) กรณีที่มีการปรับแผนการจัดสรรน้ำ โดยเฉพาะในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพหลัก ได้แก่ กรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่รับผิดชอบอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 อ่างนั้น จะต้องพิจารณาอ่างเก็บน้ำที่มีความจุของน้ำใช้การจากน้อยไปมากเพื่อสร้างความสมดุลของปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำให้เพียงพอต่อการจัดสรรน้ำตามลำดับความสำคัญ รวมถึงมีน้ำสำรองในต้นฤดูฝนด้วยเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในปีต่อ ๆ ไป