ไฮไลท์ 4 พรรคปราศรัยใหญ่ ท่าที 'ประยุทธ์-อภิสิทธิ์-สุดารัตน์-ธนาธร'
ท่าที "ประยุทธ์-อภิสิทธิ์-สุดารัตน์-ธนาธร" ไฮไลท์ 4 พรรคปราศรัยใหญ่ เมื่อคืนที่ผ่านมา
การปราศรัยใหญ่เมื่อคืนนี้ (22 มี.ค.) เพื่อหาเสียงครั้งสุดท้ายในเลือกตั้งทั่วไป 24 มี.ค. 2562 ซึ่งมีไฮไลท์ 4 พรรคการเมืองที่คาดว่าประชาชนสนใจเลือกผู้สมัครส.ส.ใน 4 อันดับแรก
พปชร.เซอร์ไพรส์ "นายกฯประยุทธ์" ขึ้นเวทีปราศรัยครั้งแรก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และผู้สมัครบัญชีชื่อนายกฯ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยของพรรคพลังประชารัฐแล้วที่สนามเทพหัสดิน ในช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนการเลือกตั้ง
แม้มีรายงานข่าวก่อนหน้านี้ว่า แม้พรรคพลังประชารัฐได้นำคลิปของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปเปิดตามเวทีปราศรัยต่างๆ ก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ความนิยมของพรรคกระเตื้องหรือเป็นที่พูดถึงในวงกว้างได้เท่าที่ควร ทำให้แกนนำของพรรคยังคงต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ มาช่วยหาเสียง โดยเฉพาะการขึ้นปราศรัยใหญ่เวทีสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งทั่วไป 24 มี.ค.62
นอกจากนี้ ฝ่ายกฎหมายและทีมงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังมีความเป็นห่วงในเรื่องบุคลิกของพล.อ.ประยุทธ์ ที่หากขึ้นเวทีแล้ว อาจคุมการพูดบนเวทีไม่ได้ รวมถึงฝ่ายรักษาความปลอดภัยเองก็มีความกังวลในเรื่องการดูแลความปลอดภัยด้วยเช่นเดียวกัน แต่สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ ก็ขึ้นเวทีปราศรัยในที่สุด
พล.อ.ประยุทธ์ ปราศรัยตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยมีศักยภาพ แต่ก็มีวิกฤตเกิดขึ้นเสมอ เราอย่าทำให้วิกฤตมันเกิดขึ้นมาอีก ขอบคุณทุกคน ขอบคุณกำลังใจ ขอบคุณความรักที่ท่านให้มา ผมตอบสนองให้ท่านไม่น้อยไปกว่าที่ท่านให้ผม ผมให้ท่านทั้งชีวิตและจิตใจ ผมจะยอมตายเพื่อแผ่นดินผืนนี้ แผ่นดินที่ให้ผมเกิด ให้ผมกินอยู่ ให้ผมหลับนอน ให้ผมมีอาชีพ ผมต้องรักษาแผ่นดินผืนนี้ไว้ให้กับลูกหลานของเราในอนาคต ใครจะไปกับผมไหม ประเทศไทยจะไม่ล้มอีกต่อไป จะไม่นั่งรอใครอีกต่อไป เราจะเดินไปข้างหน้า จับมือกันไปเดินไปข้างหน้า ขอบคุณกำลังใจทุกกำลังใจ เรากำลังมาร่วมกันทำประวัติศาสตร์ให้ประเทศไทยในวันข้างหน้า อดีตที่ผ่านมาประวัติศาสตร์อะไรไม่ดีจำไว้เป็นบทเรียน
พท.ขอโอกาสนักบริหารมืออาชีพ
ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้จัดปราศรัยใหญ่ เลือกเพื่อไทยให้ถล่มทลาย เป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล ในพื้นที่ กทม. เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถึงกำหนดเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.นี้ โดยการปราศรัยเริ่มตั้งแต่เวลา 16.00 น. ซึ่งแกนนำพรรคเพื่อไทย ผลัดเปลี่ยนขึ้นปราศรัยย้ำถึงนโยบายต่างๆ
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 2 กล่าวถึงเรื่องเศรษฐกิจว่า มักมีคนถามว่าอนาคตหลังเลือกตั้งเป็นอย่างไร แต่จริงๆ แล้วคำถามนี้ไม่ถูกต้อง เพราะอนาคตไม่เคยหยุดรอประเทศไทย อนาคตไม่ได้ อนาคตวิ่ง โลกและเทคโนโลยีวิ่งไปหมดแล้ว เราหยุดรอการเลือกตั้งมา 5 ปีแล้ว ดังนั้นคำถามจึงไม่ใช่ว่าอนาคตหลังเลือกตั้งเป็นอย่างไร แต่ต้องถามว่าหลังเลือกตั้งเราจะไล่ลาอนาคตทันได้อย่างไร อนาคตโลกไม่เคยหยุดรอเรา ดังนั้นหลังเลือกตั้งพรรคไหนจะพาไปถึงอนาคตได้ดีที่สุด ก็ต้องพรรคเพื่อไทยเพราะเราเข้าใจอนาคต ถามว่าเศรษฐกิจปัจจุบันเป็นอย่างไร ก็กระเป๋าแฟ่บ ซึ่งเศรษฐกิจของประเทศไทย อธิบายไดออกมา 3 แบบ คือ 1.แข็งบนอ่อนล่าง คนรวยอยู่ดี บริษัทในตลาดหุ้นกำไรเยอะ พวกเราคนตัวเล็กตัวน้อย จนกระจาย เราไปต่างจังหวัดทุกคนบ่นเรื่องไม่มีเงินหมุนในตลาด แม่ค้าต้องหนีหนี้ คนงานไม่มีโอทีต้องลาออกจากงาน
2.แข็งนอก อ่อนใน โดยแข็งนอก คือเน้นการส่งออก สินค้า และบริการเข้มแข็ง แต่การบริโภคภายในประเทศอ่อนแอ โดยตัวเลขการบริโภคภายในลดลงจาก 52% ตอนนี้ลดเหลือ 48% และ 3.แต่ก่อนแข็งกว่านี้ ตอนนี้อ่อนแอลง อดีตเศรษฐกิจเติบโตได้ 5-6% ก็ดี แต่ตอนนี้โตได้ 4% ก็ถือว่าโชคดีแล้วในแถบอาเซียนเราเติบโตต่ำกว่าฟิลิปินส์ , อินโดนีเซีย , มาเลเซีย , เวียดนาม เราดีกว่าสิงคโปร์เพียงนิดเดียว มีแต่รวยกระจุก จนกระจาย นี่คือปัญหาแรกที่เราต้องเข้ามาแก้
อย่างนี้อนาคตจะดีขึ้นได้หรือไม่ ก็มี 3 เรื่องที่ต้องดูคือสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นอย่างจีนกับสหรัฐ , จีนคุ่ค้าใหญ่ของเราชะลอตัวลงสั่งซื้อเราน้อยลงทำให้แรงงานเราชะลอไปด้วยไม่มีโอที และเรื่องการตามเทคโนโลยีไม่ทัน และเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างไม่ใช่แค่แจกบัตรคนจนแล้วปัญหาหมดไป ดังนั้นรัฐบาลใหม่ถ้าไม่เก่งจริงอยู่ไม่ได้ จะต้องเอามืออาชีพมาบริหาร เราจะซ่อมและสร้างเศรษฐกิจใน 4 ปีกับพรรคเพื่อไทย ก็ต้องเริ่มที่การส่งออก-ท่องเที่ยวต้อง หาตลาดใหม่ให้ได้ทั่วโลก หารายได้ 3 ล้านล้านบาทเข้าประเทศ 2.เพิ่มการลงทุนในประเทศอันนี้สำคัญ ที่ผ่านมาต่างชาติไม่กล้ามาลงทุน เพราะไม่มั่นใจสภาพรัฐบาล สภาพเศรษฐกิจ พวกที่มาขู่ว่าเพื่อไทยมาแล้วไม่สงบ ที่ไม่สงบทำกันเองนั่นแหละ ที่ไม่สงบใครทำ 3.การจ่ายภาครัฐต้องเร็ว ต้องกระตุ้นการบริโภคในประเทศ กระเป๋าต้องตุง นี่คือโจทย์ใหญ่จะต้องทำให้เราเป๋าตุง ด้วย 4 หลัก คือ ปรับหนี้ เกษตรกร SMEs ครู เติมเงินช่วยลดต้นทุนราคาพืชผลเกษตร แล้วช่วยหาแหล่งทุนให้เกษตรกร SMEs ลดภาษี คนตัวเล็กตัวน้อย ลดภาษีน้ำมัน เก็บภาษีให้เป็นธรรม สร้างเศรษฐีใหม่ ที่ผ่านมาคือการซ่อม
ที่บอกเราสร้างเศรษฐีใหม่เพื่อไทยเราจะโอกาส ไม่ได้ให้เงิน สร้างเศรษฐกิจใหม่ Creative Economy หรือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ขายน้อย แต่ราคาแพงขึ้นคือมูลค่าเพิ่มขึ้น เช่น ปลูกอะไรแล้วใช้เทคโนโลยีช่วยขายทั่วประเทศได้ หัวใจของเราคือเข้าใจอนาคต และเราทำได้ 24 มีนากาพรรคเพื่อไทย
ขณะที่เมื่อเวลา 19.00 น. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 1 ขึ้นปราศรัย ระบุว่า หน่อย สุดารัตน์ ได้เกิดขึ้นทางการเมืองที่เวที กทม. ด้วยความโอบอุ้มของพี่น้องทุกคน เดิมเคยลงแข่งขัน ส.ส. เขต 12 ลงสมัยแรกปี 2535 ตนได้เข้ามา ส.ส.เริ่มชีวิตการเมืองครั้งแรกวันที่ 22 มี.ค.35 ขณะที่ครั้งแรกที่เริ่มชีวิตการเมืองกลับมีการรัฐประหาร พฤษภา 35 โดยคณะ รสช. ซึ่งมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เหมือนในยุค คสช.นี้คุ้นๆ เหมือนกัน ผบ.ทบ.สมัยปี 35 นามสกุลก็เหมือน ผบ.ทบ.ยุคนี้ แล้วคนที่ร่างรัฐธรรมนูญ เขียนกติกาคือคนเดียวกันคือนายมีชัย ฤชุพันธุ์ แต่ครั้งนี้ร่างรัฐธรรมนูญยิ่งกว่าให้ ส.ว.250 คน ใช้สิทธิเลือกนายกฯ ได้ ดังนั้นที่ผ่านมาชีวิตการเมืองไม่เคยง่ายเลย ไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ที่เราเพื่อไทยผ่านมาได้เพราะเรามีพี่น้องประชาชน ทั้งที่เจอกติกาที่เอาเปรียบ 17 ปีตั้งแต่พรรคไทยรักไทยมาถึงพรรคเพื่อไทย ความสัมพันธ์ของเราไม่ใช่แค่คนรู้จักกัน เชียร์กัน แต่เราเป็นเหมือนญาติ มิตร ครอบครัวเดียวกัน
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า โดยวันนี้ตนอยากเล่าถึงทำงานของเราในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ที่ได้ออกไปพบประชาชน ได้พบภาพที่ 27 ปีของการเมืองไม่เคยพบ 4 เดือนมานี้ ได้เห็นความทุกข์ ความเศร้า ความหมดหวังของพี่น้องประชาชน แต่เมื่อเราไปพบทุกคนก็นึกถึงภาพวันดีๆ ที่เราเคยทำงานร่วมกัน อย่างเมื่อเช้านี้ที่เขตประเวศ มีผู้ชายคนหนึ่งมาบอกว่า รอดตายแล้วเพราะ 30 บาทรักษาทุกโรค ผ่าตัดหัวใจถึง 8 ครั้ง ใช้เงินรักษาเท่ากับเกือบ 8 ล้านบาท
เวลาไปต่างจังหวัด จะมีคนวิ่งเข้ามากอด มาจับ มาเขย่าตัวหน่อย บอกให้กลับมาทำงาน ให้กลับเป็นรัฐบาลให้ได้นะ เพราะหลายอย่างเปลี่ยนไปเหลือเกิน มีรายหนึ่งบอกว่าเขาโชคร้ายที่ลูกเขามาโตในยุคนี้ ลูกเขาไม่ได้โตในยุคของไทยรักไทยสมัยก่อนหรือเพื่อไทย เพราะวันนี้ยาเสพติดระบาดเหลือเกิน อยู่ 27 ปีทางการเมืองที่ผ่านมาไม่เคยทุกข์ขนาดนี้ เวลาไปเวทีต่างๆ หน่อยพยายามจากหลังเวทีเข้ามาเพื่อจะให้ได้ สัมผัสมือ มองตา ซึ่งแววตาก็มีแต่เศร้าหมอง
วันนี้พี่น้องมีความหวัง หวังที่เราจะกลับมาทำให้ความทุกข์ของพี่น้องหมดไป โดยมีแววตาที่เว้าวอนให้กลับมาเป็นรัฐบาลช่วยกัน เมื่อเช้าลงพื้นที่มีผู้ชายร่างใหญ่มากโบกมือให้เราชะลอขบวนรถแห่ ถือน้ำดื่ม 2ขวดมาให้หน่อย แล้วแหงนหน้าร้องไห้ต่อหน้าหน่อย บอกว่ามาช่วยกันหน่อยจะตายแล้ว เรารู้ว่าทุกคนมีความทุกข์ที่ถูกกดทับมาแล้ว 5 ปี
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวย้ำอีกว่า เราไม่เคยเห็นพี่น้องเป็นพลทหาร เราไม่เคยเห็นพี่น้องเป็นลูกจ้าง เราไม่เคยชี้หน้าว่าพี่น้อง แต่เราเห็นพี่น้องเป็นเจ้านายของเราเพราะเป็นคนเลือกเราที่เราจะต้องทำให้มีความสุข วันนี้พวกเราเพื่อไทยจะกลับมาคืนความสุข ที่ไม่ใช่คืนความสุขแค่วันศุกร์
ปชป.ขอปชช.พ้นวงจรอุบาทว์ "รัฐประหาร-ขัดแย้ง"
ที่ลานคนเมือง ศาลากรุงเทพ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จัดปราศรัยใหญ่เวทีสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งที่จะถึงวันที่ 24 มี.ค. 2562 ภายใต้แนวคิด ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต เศรษฐกิจเข้มแข็ง เลือกประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีประชาชนสนับสนุนเดินทางมาร่วมรับฟังจนเต็มพื้นที่จัดเตรียมไว้ โดยก่อนที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค คุณชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค จะขึ้นเวทีปราศัย มีแกนนำคนสำคัญหมุนเวียนขึ้นเวที
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรค กล่าวถึงอนาคตประเทศจะเดินไปทิศทางไหนว่า มีพรรคการเมือง ที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล 3 ขั้วการเมือง คือ 1. ขั้วพรรคไทยรักไทยเดิม 2.พลังประชารัฐ 3.ประชาธิปัตย์ ซึ่งทั้ง 2 ขั้วการเมืองมีความแตกต่างสิ้นเชิง ทั้ง คนเป็นนายกรัฐมนตรี ผลงานที่ผ่านมา และจุดยืนทางการเมือง
แน่ชัดว่าเลือกพรรคพลังประชารัฐ ได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะ พรรคเพื่อไทย ยังไม่ทราบว่า 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ใครจะได้เป็น ต้องไปเลือกครั้ง ส่วน ประชาธิปัตย์ คือ นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ เราพิสูจย์มาแล้วพาประเทศพ้นวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ใช้หนีไอเอ็มเอฟ สมัยรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย วิกฤติแฮมเบอเกอร์ สมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำเศรษฐกิจโต 12% จากติดลบ นอกจากนี้ หัวหน้าพรรคทุกคนของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีมลทินทุจริต
ส่วนจุดยืนทางการเมืองของ พลังประชารัฐขายความสงบ ขณะเพื่อไทยขาย ประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ แต่ไม่เคยวิจารณ์เผด็จการในสภา และตั้งตนเป็นเจ้าของ ประชาธิปไตย ขณะ ปชป.มีจุดยืนชัดเจนว่า เราเป็นประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่ใช่ประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดี นอกจากนี้ ประชาธิปไตยของ ปชป. จะไม่วิปริส ผิดเพี้ยน หรือ ทุจริต หาก ปชป.ได้เป็นรัฐบาล จะทำให้ประเทศไทยพ้นจากการยึดอำนาจ ความขัดแย้ง
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ของพรรค กล่าวว่า ปชป.เป็นพรรคที่ไม่มีเจ้าของ และเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงาน ตนใช้เวลา 1 ปีศึกษาพรรคนี้ จนทราบว่า ปชป.พร้อมจะเปลี่ยนแปลงมาก และที่ผ่านมาตนโดนข้อครหาลอกเลียนแบบและเดินตามรอยคนบางคน (นายอภิสิทธิ์) แต่มีสิ่งเรื่องหนึ่งที่ตนไม่ได้ลอกเลียนแบบ คือ ตนเป็นผู้เสนอแนวคิด ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ หากนายกรัฐมนตรียังเป็นคนเดิม เป็นการสืบทอดอำนาจ จะทำเกิดความขัดแย้ง ความสงบไม่เกิด ส่วนโนยบายเลิกเกณฑ์ทหา ปรับลดกำลังพล ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายกองทัพ แต่จะทำมห้กองทัพแข็งแรง เล็กแต่แจ๋ว
จากนั้นคุณชวน หลีกภัย ประธานประธานที่ปรึกษาพรรค บอกว่า ในห้วงเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา ได้สำรวจความเป็นอยู่ของประชาชนทั้ง 77 จังหวัด พบว่า รายได้ลด หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น และได้ทำหนังสือและนำรายงานดังกล่าว ส่งให้กับรัฐบาลชุดปัจจุบันตั้งแต่ปีแรก แต่ไม่ได้คำตอบกลับมา จากนั้นตนได้ทำวิจัยไปเรื่อยๆ พบว่า รายได้ประชาชนทั่วประเทศ ลดลงตลอด
นอกจากนี้ คุณชวน ยังพูดถึงผลงานการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ประสบความสำเร็จในยุคที่ พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล แต่ปัญหากลับมารุนแรงที่เกิดการบริหารงานผิดพลาดในยุค นายทักษิณ ชินวัตร จนมาถึงปัจจุบันนี้ รวมถึงปัญหาโยกย้ายนายทหารในกองทัพ คนทำงานกลับถูกย้ายออกไปจากพื้นที่
นายอภิสิทธ์ ขึ้นปราศรัยเวลา 20.50 นาที ว่า มีความสำคัญที่เราเป็นนักการเมืองที่มาจากประชาชน ที่มาอยู่ได้เพราะบุญคุณของประชาชน ทุกรอยยิ้ม ตนไม่เคยลืม จากการเดินทางไปปราศัยสัมผัสได้ว่า ประชาชนเดือนร้อน และคาดหวังว่า ในวันที่ 24 มี.ค. หลังเข้าคูหาเลือกตั้งชีวิตจะดีขึ้น โดย 5 ปีที่ผ่านมา ปชป.เข้าหาประชาชน เพื่อรับรู้ปัญหาประชาชน แม้จะโดนข้อความทำกิจกรรมทางการเมือง เพราะทุกข์ประชาชนเว้นวรรคไม่ได้ ปชป.มีความพร้อมเข้ามาแก้ไขปัญหาเต็มที่ และจะเติมเงิน เติมรายได้ให้กับประชาชน เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อน รวมทั้งแผนแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทั้ง ยางพารา ข้าว ปาล์ม ซึ่งแนวทางของเราไม่สร้างปัญหาเหมือนของรัฐบาลที่ผ่านมา เช่น โครงการรับจำนำข้าว ที่เข้ามาแทนที่ประกันราคาข้าว ของ ปชป. ส่วนรัฐบาลปัจจุบัน เรียนรู้ที่จะยกเลิกจำนำข้าว แต่ 5 ปีผ่านมา ไม่เรียนรู้จะแก้ไขปัญหาเกษตรกรอย่างไร ส่วนนโยบายขึ้นค่าแรงของพรรคการเมืองต่าง ซึ่งไม่เรียนรู้จากบทเรียนครั้งที่ผ่านมา ที่ขยับเป็น 300 บาท ค่าครองชีพแพงขึ้น ทั้งนี้ ปชป.จะไม่ยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่จะทำให้ดีขึ้น รวบสิทธิ์ต่างๆไว้ด้วยกัน ทำให้กระจายรายได้ ไม่ให้กองอยู่ที่ใดที่หนึ่งเหมือนที่เป็นอยู่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่ามรดกที่รับจากปัจจุบันแก้ไขปัญหาได้ แน่นอนแล้วจะแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว มีพรรคการเมือง มองประชาชนเป็นหมากในกระดานเล่นสงครามและบังคับให้ประชาชนเลือกและอยู่บนความกลัวและความเกลียด 24 มี.ค.เราจะเลือกอนาคตประเทศ เราอย่าไปตกหลุมการเมืองที่เอาความกลัว ความเกลียดมาคลอบงำ โดยอาศัยความไม่พอใจประชาชนมีรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากเลือกตั้ง เช่น ตัดงบกองทัพ ชูนโยบายขึ้นมาเพื่อสร้างความขัดแย้ง ให้ประชาชนทะเลาะกับกองทัพ หากย้อนกลับไปดูสมัยที่เป็นรัฐบาล ทำไมได้ แต่สมัย ปชป.ตัดงบกองทัพ แต่ทำในสัดส่วนที่สมควร มาครั้งนี้ เราไม่ตัดงบกองทัพ แต่ตัดงบกลางแทน
นายอภิสิทธ์ ย้ำว่า อย่าสร้างวาทะกรรมขัดแย้งเช่นนี้ ทำทุกอย่สงเสมอภาคกัน ประชาธิปไตยจึงต้องสุจริต ตั้งแต่เริ่มต้น จนไปถึงเลือกตั้ง ปชป.เป็นพรรคที่เดินตรงไปตรงมา ไม่มีพรรคสาขาหรือพรรคนอมินี ไม่มีอามิสสินจ้าง นอกจากนี้ ปชป.เป็นพรรคไม่มีเจ้าของและเป็นพรรคที่มีความเป็นประชาธิปไตย แบบไม่ผูกขาดเหมือนบางพรรคการเมือง ที่อยู่บนทางความคิดที่คับแคบ
ทั้งนี้ตนยืนยันหากมา หากพรรคพลังประชารัฐ ไม่อยู่ใน 2 เงื่อนไข คือ การสืบทอดอำนาจ และการทุจริต ก็สามารถร่วมงานกันได้ ตนไม่ได้กั๊ก หรือ หมกเม็ด อย่างที่ถูกพรรคอื่นกล่าวหา และสิ่งสำคัญ อยากจะบอกประชาชน อย่าเอาความเกลียดเผด็จการและกระโจนไปหาคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย รวมถึงความกลัวที่ว่า นายทักษิณ ชินวัตร จะกลับมา หรือ กลัวบ้านเมืองไม่สงบ ต้องเลือกตัวเขาเท่านั้น
"คนที่ คสช.บอกเป็นคนไม่ดี ทุจริต คนเหล่านั้นไปอยู่พรรคที่ พล.อ.ประยุทธ์ จึงกลายเป็นคนดีไปแล้ว เอาความเลวไปต่อสู้ความเลว คือ แพ้แล้ว คือ คุณยอมเลว" นายอภิสิทธิ์ กล่าวและว่า
ส่วนความกลัวที่สอง คือ ถ้าไม่มีเขา บ้านเมืองไม่สงบ และนำมาขยายโจมตีตน ซึ่งก็ยอมรับว่าสมัยตนเป็นนาบกรัฐมนตา ก็วุ่นวายตั้งแต่วันแรก แต่เป็นเงื่อนไขที่สะสมมาจากความขัดแย้งหลายปี โดยเฉพาะปี 2553 ขณะนั้นตนมี รองนายกรัฐมนตรี นั้น ชื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กห. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. ตนไม่เคยตำหนิใคร ทั้งๆวันแรกตนเป็นนายกฯ เขาเหล่านั้นบอกไม่ต้องห่วง เรื่องความมั่นคงจะดูแลเอง ให้ไปดูเรื่องเศรษฐกิจ
แต่หากวันนี้จะตำหนิว่า ตนเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วทำให้บ้านเมืองไม่เรียยร้อย ขอรับผิดชอบ คนเดียว แต่เสียใจว่า วันนี้เล่นการเมืองกันอย่างไรไม่ทราบ เหตุการณ์หน้ามหาดไทย ตนโดนทุบรถ และอยู่ในรถ แต่ขณะนี้ขึ้นเวทีสรรเสริญคนทุบรถ แต่มาด่าคนที่อยู่ในรถที่ถูกทุบ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ทันทีที่มีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่ เราจะเข้าสู่สถานการณ์ใหม่ เพราะขณะนี้มีพรรคการเมืองหนึ่งตั้งตัวขัดแย้ง กับการสืบทอดอำนาจ วันที่ตนพูดถึง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีปัญหาอะไรส่วนตัวเลย และต้องขอบคุณท่านที่เคยทำงานให้ตน แม้ในห้วง 5 ปีที่ผ่านมา ตนไม่เห็นด้วยในหลายเรื่อง แต่ไม่เคยคิดจะเป็นปฏิปักษ์ และดีใจที่ประชาชนมีความพอใจกับความสงบ
แต่หลังจากการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ลงสมัครนายกรัฐมนตรี และตลอดเวลา 2 เดือนที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าเป็นผู้สมัครนายกรัฐมนตรีที่ไม่เหมือนคนอื่น และเพิ่งขึ้นเวทีปราศรัยวันนี้ ร้องเพลงด้วย ปราศรัยไม่กี่คำก็ลงเวทีไป แต่ทุกเวทีที่จัดดีเบต ที่มีการถกเถียงกัน พล.อ.ประยุทธ์ และ พลังประชารัฐ ไม่ไป แล้วถ้าเดินเข้ารัฐสภาเป็นอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่า ในชีวิตตนมีการสืบทอดอำนาจ 3 ครั้ง 1. จอมพลถนอม แต่ทนไม่ไหว สุดท้ายก็มีการปฏิวัติตนเอง แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ทนพรรคพลังประชารัฐได้หรือไม่ 2. พลอากาศเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรี แต่สู้วิกฤติราคาน้ำมันไม่ไหว 3. พฤษภาทมิน มีนายกรัฐมนตรีถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ แต่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ชอบธรรม เกิดการนองเลือด
แล้วจะให้สืบทอดอำนาจบางครั้งที่ 4 หรือไม่ ตนไม่ได้มีอะไรเป็นการส่วนตัว หากท่านถอยไปจะเป็นการที่ดีและเป็นความปรารถนาดีที่ตนจะมอบให้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ตนก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครคิดจะก่อเหตุอีก แต่เชื่อว่าสังคมไทยเรียนรู้และมีวิวัฒนาการ ยุคนี้สมัยนี้การปลุกระดมคนให้มาประท้วงไม่ง่ายเหมือนเก่า อย่าสร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง และยุคนี้คนที่เป็น ผบ.เหล่าทัพ ตำรวจ ที่เป็นฝ่ายความมั่นคง โดยแยกจาก การเมือง คสช. เป็นมืออาชีพที่จะต้องช่วยนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเพราะนายกรัฐมนตรีไม่มี ม.44 และตนตั้งใจจะแหวกประเทศไทยออกจากวงจรอุบาทว์ให้ได้
อนค.ขอแรงปชช.ยุติสืบทอดเผด็จการ
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการปราศรัยปิดท้าย ของพรรคอนาคตใหม่ ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์กีฬา ไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ว่า เป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีประชาชนซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่เป็นส่วนมากเข้าฟังปราศรัย จนเต็มที่นั่งของอาคารกีฬาเวสน์ 2 ทั้งนี้มีผู้ที่เป็นแฟนคลับของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่, นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค นำป้ายไฟ และของเรืองแสงเข้าชมการปราศรัยเพื่อให้กำลังใจแกนนำด้วย
ทั้งนี้ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ขึ้นปราศรัยนำโดยย้ำถึงจุดกำเนินของพรรคอนาคตใหม่ที่ต้องการเป็นพรรคการเมืองเพื่อเป็นความหวังและอนาคตให้กับประเทศ พร้อมกับเชิญชวนให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง วันที่ 24 มีนาคม เพื่อสร้างอนาคตการเมืองไทยให้เป็นไปได้ และให้เป็นวันที่อำนาจอธิปไตยสูงสุดกลับเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
นายปิยบุตร กล่าวด้วยว่า การใช้สิทธิวันที่ 24 มีนาคมต้องใช้การเลือกตั้งเพื่อหยุดการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และยุติการใช้กฎหมายหรือคำสั่งที่ออกมาโดยผู้ยึดอำนาจ ที่ถือว่าเป็นมรดกบาปของคสช., ยุติวงจรการรัฐประหารในประเทศไทย และยุติการเมืองแบบเก่าที่เป็นไปแบบต่อรอง โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน
ความขัดแย้งรอบ 13 ปีที่ผ่านมาที่ทำให้เกิดความขัดแย้งร้าวลึก ผมขอให้ทุกคนร่วมกันทบทวนความขัดแย้ง และไม่เปิดโอกาสให้ระบบเผด็จการเข้ามาแก้ปัญหาการเมือง ซึ่งพรรคอนาคตใหม่มองว่าการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งต้องลงคะแนนเพื่อความเปลี่ยนแปลง เพื่อความหวังและทำให้ประเทศเดินหน้า ผมขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในพรรคอนาคตใหม่ ว่าเป็นพรรคการเมืองหลักเพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตใหม่ สร้างการเมืองที่มีความหวัง โดยเลือกพรรคเพื่อให้ผมเข้าไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านการตั้งตัวแทนประชาชนให้มีส่วนร่วมยกร่างใหม่ และเลือกให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร และให้คุณธนาธร เป็นนายกรัฐมนตรี นายปิยบุตร กล่าวปราศรัย
ขณะที่ นายธนาธร กล่าวปราศรัยปิดท้ายเวทีเมื่อเวลา 21.30 น. โดยเรียกร้องให้ประชาชนร่วมเปลี่ยนแปลงสังคมให้พัฒนาและเติบโตไปในทิศทางที่ดี โดยไม่ใช้อำนาจที่มาจากการรัฐประหารหรือระบอบอำนาจรวมศูนย์ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน ทั้งนี้ตนขอเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทุกสีเสื้อ และคนทุกระดับ เพื่อมีโอกาสสร้างระบอบประชาธิปไตย และรัฐสภาที่ดี ใช้การแก้ปัญหาและสร้างสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงจากตัวแทนของพรรคฐานะผู้ที่เคยเผชิญปัญหาด้วยตนเอง โดยไม่เรียกทหารออกมาปฏิวัติอีก