‘เถ้าแก่น้อย’ ปั้นพอร์ตเรสเตอรองท์ ดัน 'ฮิโนยะเคอรี่' เบียดคู่แข่ง
ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยมูลค่ากว่า 22,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี มี “ผู้เล่นใหม่” แจ้งเกิดตลอดเวลา!!
โดยเฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่นแบบรายประเภท ราเมง ซูชิ ทงคัตสึ และข้าวแกงกะหรี่ ขณะที่คนไทยนิยมเดินทางท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเปิดรับไลฟ์สไตล์ วัฒนธรรมอาหารการกิน เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญของกลุ่มธุรกิจเถ้าแก่น้อยเปิดเกมรุกจริงจังในสมรภูมินี้
อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไชส์ จำกัด ผู้บริหารร้าน “เถ้าแก่น้อยแลนด์” กล่าวว่า จะมุ่งขยายพอร์ตธุรกิจร้านอาหารและแฟรนไชส์มากขึ้น สานต่อแนวคิดฟู้ด อินโนเวชั่น และเพื่อกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจ “เถ้าแก่น้อยแลนด์” ที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักนักท่องเที่ยว แม้ธุรกิจยังขยายตัวได้ดี แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเผชิญความผันผวนของกลุ่มนักท่องเที่ยวจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่นกัน โดยพบว่า 3 เดือนแรกที่ผ่านมาตลาดรวมนักท่องเที่ยวหดตัว 10%
“ตลาดทัวริสต์เติบโตมาตลอดแต่ช่วง 2-3 ปีมานี้แกว่งตัวมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบ รวมทั้งเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ดังนั้นต้องหาธุรกิจมาบาลานซ์เพื่อกระจายความเสี่ยง”
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับไทยและสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างมากในอนาคต ภายใต้ก้าวรุกของ “เถ้าแก่น้อย เรสเตอรองท์ แอนด์ แฟรนไชส์” วางกลยุทธ์ “เดสทิเนชั่น สเปเชียลตี้ สโตร์” ในทุกๆ ธุรกิจ ยกตัวอย่าง เถ้าแก่น้อยแลนด์ เป็นเดสทิเนชั่นของทัวริสต์!!
ล่าสุด บริษัทได้สิทธิ์เป็นผู้บริหารหรือเอ็กซ์คลูซีฟแฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยสำหรับร้านอาหารญี่ปุ่น ฮิโนยะ เคอรี่ (Hinoya Curry) ข้าวแกงกะหรี่ดีกรีแชมป์ เจ้าของรางวัลชนะเลิศ Kanda Curry Grand Prix ปี 2013 ประเทศญี่ปุ่น ประเดิมเปิดสาขาแรกที่เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ย่านประตูน้ำ ตั้งแต่กลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นสาขาแรกนอกญี่ปุ่น พื้นที่ 80 ตร.ม. ลงทุน 4-5 ล้านบาท คอนเซปต์ “แกงมิดข้าว” กับแกงกะหรี่สูตรพิเศษที่สืบทอดกันมา 3 เจนเนอเรชั่น ภายใต้สโลแกน “ข้าวแกงกะหรี่ ดีกรีแชมป์” พร้อมท็อปปิ้งเกือบ 30 ชนิด และเมนูพิเศษสำหรับนักชิมชาวไทย
ฮิโนยะ เคอรี่ ตั้งเป้าหมายขยายสาขา 10 แห่ง ภายใน 2 ปี คาดรายได้ 100 ล้านบาท มั่นใจศักยภาพตลาดเมืองไทยจะขยายได้ถึง 100 สาขา!! ใน 10 ปี
ธุรกิจร้านข้าวแกงกะหรี่ยังมีผู้ประกอบการน้อยราย มีเพียงแบรนด์โคโค่อิฉิบันยะทำตลาดเป็นหลัก นอกนั้นเป็นรายย่อย ขณะที่ผู้บริโภคนิยมข้าวแกงกะหรี่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่ไปท่องเที่ยวญี่ปุ่น เป็นโอกาสสร้างตลาดข้าวแกงกะหรี่ให้เติบโตขึ้น
“บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อขยายตลาด ร้านฮิโนยะ เคอรี่ ในภูมิภาคเอเชีย!! ซึ่งเถ้าแก่น้อยมีศักยภาพสูงในการทำตลาดทั่วโลก ต่อยอดจากศักยภาพธุรกิจ เถ้าแก่น้อย ที่มีการทำตลาดสาหร่ายทั่วโลก”
สำหรับ ร้านฮิโนยะ เคอรี่ ถือกำเนิดใน Yushima กรุงโตเกียว เมื่อปี 2554 แม้เป็นทำเลที่ไม่มีคนพลุกพล่าน แต่กลับทำยอดขายได้ดีเยี่ยม จากร้านเล็กๆ เติบโตอย่างรวดเร็ว ลูกค้าพูดกันปากต่อปากสร้างชื่อ ฮิโนยะ เคอรี่ โด่งดังไปทั่วประเทศ เมื่อลงแข่งขันแกงกะหรี่ระดับประเทศเวที Kanda Curry Grand Prix ปี 2013 ซึ่งมีร้านข้าวแกงกะหรี่ร่วมแข่งกว่า 300 ร้าน ก่อนหาผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย 23 ร้าน โดยให้ผู้เข้าร่วมงานเกือบ 50,000 คน ชิมและลงคะแนนให้กับร้านที่ถูกปาก โดนใจมากที่สุด และ “ฮิโนยะ เคอรี่” เป็นร้านคลื่นลูกใหม่คว้ารางวัลชนะเลิศด้วยเมนูข้าวแกงกระหรี่ไข่ดิบ และข้าวแกงกะหรี่หมูทอดทงคัตสึ หลังเปิดร้านเพียง 1 ปี 10 เดือน ท่ามกลางคู่แข่งที่เปิดร้านเก่าแก่กว่า 30 ปี และยังได้รับคะแนนโหวตสูงสุดอันดับ 1 พร้อมยอดขาย 2,500 จาน ในระยะเวลา 3 วัน
ฮิอูระ มาซารุ เจ้าของร้านและเชฟผู้สืบทอดสูตรข้าวแกงกะหรี่ดั้งเดิมตั้งแต่สมัยโชวะ กล่าวว่า แกงกะหรี่ฮิโนยะ คิดค้นโดยคุณย่า ปรุงโดยคุณพ่อ ผ่านการคิดค้น ทดลองให้มีมิติที่เข้มข้นยิ่งขึ้นในรุ่นลูกคือตัวเขาเอง สร้างมิติแปลกใหม่ด้วยส่วนผสมกว่า 90 ชนิด จนมีเอกลักษณ์ตามสโลแกน “คำแรกหวาน คำที่สองเผ็ดร้อน คำสุดท้ายหอมกรุ่นอยู่ในปาก” ในญี่ปุ่น ฮิโนยะ เคอรี่ เป็นร้านขวัญใจคนรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว คุ้มค่า รวมถึงกลุ่มวัยกลางคน ผู้สูงอายุ มีสาขารวม 57 แห่ง
อิทธิพัทธ์ กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทคาดรายได้ 400 ล้านบาท มาจากธุรกิจรีเทล ซูวีเนียร์ หรือ เถ้าแก่น้อยแลนด์ 90% ธุรกิจฟู้ดรีเทล ซึ่งมี ฮิโนยะ เคอรี่ เป็นแบรนด์แรก สร้างรายได้สัดส่วน 10% ตั้งเป้าหมาย 5 ปีข้างหน้าสัดส่วนธุรกิจรีเทล ซูวีเนียร์ 60% ฟู้ดรีเทล 40% ซึ่งภายในปีนี้จะมีอีก 1 แบรนด์ใหม่ในพอร์ต!!