รวบผัวเมียแสบ อ้างเป็น ป.ป.ช. หลอกตุ๋นเงินผู้บริหารองค์กรท้องถิ่น
กองปราบฯรวบ 2 ผัวเมียแสบ อ้างตัวเป็น ป.ป.ช. หลอกตุ๋นเงินผู้บริหารองค์กรท้องถิ่น อ้างวิ่งเต้นเลี่ยงถูกตรวจสอบคดีทุจริต มูลค่าความเสียหายกว่า 5 ล้านบาท
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 15 พ.ค.62 ที่ กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก. 2 บก.ป. พ.ต.ต.เอกพล ปัญจมานนท์ สว.กก.2 บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ ชุดปฏิบัติการ กก.2 บก.ป. พร้อมด้วย นายสุทธิ บุญมี ผอ.สำนักกิจการสืบสวนและกิจการพิเศษ ป.ป.ช. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงผลจับกุม นายแก้ว ประสมผล อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนางรอง ที่ จ144/2559 ลง 5 กันยายน 2559 ข้อหา “ร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำตนเป็นเจ้าพนักงานโดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น และหมิ่นประมาท” และ นางอรุณรัตน์ วังพรม อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 99/2561 ลง 8 กุมภาพันธ์ 2561 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง โดยแสดงตนเป็นคนอื่น” สองสามีภรรยา โดยสามารถจับกุมตัวนายแก้ว ได้ที่บริเวณหลังบ้านเช่าไม่มีเลขที่ ม.7 ต.มะเริง อ.เมือง จ.นครราชสีมา และจับกุมตัวนางอรุณรัตน์ ได้ที่บริเวณหลังบ้านเช่าไม่มีเลขที่ ม.7 ต.มะเริง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
พ.ต.อ.อรุณ กล่าวว่า สืบเนื่องจากผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนี้ ซึ่งเป็นสามีภรรยากันนั้น ได้มีพฤติการณ์สุ่มโทรศัพท์ไปยังผู้บริหารองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ผู้บริหารโรงเรียนจำนวนมาก หลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยอ้างว่าผู้บริหารคนดังกล่าวมีคดีหรือถูกตรวจสอบทรัพย์สินเรื่องอยู่ที่ ป.ป.ช. โดยอ้างชื่อกรรมการ ป.ป.ช. รวมถึงอ้างตนด้วยว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. หรืออนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่สามารถให้ความช่วยเหลือทางคดีได้ จนทำให้มีผู้บริหารท้องถิ่นหลายแห่งหลงเชื่อยอมโอนเงินให้ผู้ต้องหา ตั้งแต่ 20,000 ถึง 200,000 บาท จากการสืบสวนพบว่ามีเงินที่ได้จากการหลอกลวงดังกล่าวเข้าบัญชีผู้ต้องหาไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1 ล้านบาท รวมค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกว่า 5 ล้านบาท อีกทั้งผู้ต้องหาดังกล่าวเคยถูกเจ้าหน้าที่ ปปช.ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมมาแล้ว ต่อมาได้ประกันตัวออกมาและหลบหนีคดี และยังกระทำความผิดในลักษณะดังอย่างมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
พ.ต.อ.อรุณ กล่าวอีกว่า จากการสอบสวน ผู้ต้อวหาทั้ง 2 คน ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดดังกล่าวจริง เนื่องจากต้องการหาเงินไปใช้เป็นทุนในการเล่นการพนัน และนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลและรับประทานอาหารกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ผู้ต้องหาทั้งสองต้องการเข้าไปตีสนิทด้วยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเองไว้ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อ
ด้านนายสุทธี กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนเริ่มต้นก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2558 กระทั่งก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่สามารถสืบสวนจับกุมตัวนายแก้ว ได้แล้ว 1 ครั้ง ก่อนดำเนินการตามกฎหมาย แต่นายแก้ว ได้ยื่นขอรับการปล่อยตัวชั่วคราวก่อนอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวหลบหนี และออกมาก่อเหตุซ้ำอีก สำหรับพฤติการณ์ก่อเหตุของนายแก้ว จะหาข้อมูลทางคดีของผู้เสียหายซึ่งถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์หน่วยงานตามที่กฎหมายกำหนดให้เปิดเผยไว้ โดยค้นหารายชื่อที่ถูกนำเสนอในข่าว ซึ่งคนร้ายจะเลือกผู้เสียหายในกลุ่มที่อยู่ระหว่างชี้มูลความผิด ก่อนจะสืบหาขั้นตอนการทำงานของ ป.ป.ช.และโทรศัพท์ติดต่อไปยังเหยื่อ พร้อมอธิบายขั้นตอนการไต่สวนของ ป.ป.ช. และเสนอตัวว่าสามารถช่วยเหลือทางคดีได้ จนผู้เสียหายหลงเชื่อ
นายสุทธี กล่าวต่อ จากนั้นคนร้ายจะให้เหยื่อ โอนเงินค่าวิ่งเต้นคดีผ่านทางบัญชีธนาคารที่คนร้ายจ้างเปิดมาเท่านั้น โดยไม่รับเป็นเงินสดเนื่องจากคนร้ายเรียนรู้จากความผิดพลาดหลังถูกจับกุมครั้งแรก จากการตรวจสอบ พบว่ามีการโอนเงินครั้งละตั้งแต่ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท ตามแต่ความผิดของเหยื่อ รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ราย ซึ่งแนวทางการสืบสวนเชื่อว่า คนร้ายยังมีเครือข่ายอื่นอีก จึงขอให้ประชาชนเฝ้าระวังอย่าหลงเชื่อ ยืนยันว่า ป.ป.ช.ไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเรียกรับผลประโยชน์ช่วยเหลือคดีหากพบจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ส่วนประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสความผิดได้ที่สายด่วน 1205
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบประวัติของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน พบว่า ตัวนายแก้ว ผู้เป็นสามีนั้นมีหมายจับในคดีลักษณะดังกล่าวตามพื้นที่ต่างๆนั้นติดตัวอยู่ถึง 10 หมายจับ ส่วนนางอรุณรัตน์ มีคดีในลักษณะดังกล่าวติดตัว 1 คดี โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับแก่นายแก้ว ก่อนนำตัวส่ง สภ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ส่วนนางอรุณรัตน์ ได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหาก่อนนำตัวส่ง สภ.แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป