'ดีอี' ห่วงใยเหตุระเบิดป่วนเมืองหลายจุด ทำสังคมตื่นตระหนก
กระทรวงดิจิทัลฯ ห่วงใยกับเหตุการณ์ที่มีรายงานเกี่ยวกับระเบิดป่วนเมืองหลายจุด ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก รวมทั้งมีการแชร์ภาพ ข้อความต่าง ๆ โดยไม่มีการกลั่นกรอง คัดกรองกันก่อน
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่าตามรายงานข่าวพื้นที่ประกาศพื้นที่ควบคุมพิเศษนั้น ยังยืนยันว่ายังไม่มีการประกาศพื้นที่ หรือเขตควบคุมพิเศษใด ๆ และฝ่ายความมั่นคงได้มีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในบริเวณสำคัญทุกพื้นที่แล้ว และขอความร่วมมือจากประชาชนพี่น้องช่วยการสอดส่องดูแลสิ่งที่จะเห็นว่าเป็นสิ่งผิดปกติ และไม่ตื่นตระหนกโดยไม่มีการกลั่นกรองความถูกต้องต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้โซเชียลมีเดีย ต่าง ๆ แชร์ ส่งต่อข้อความที่จะทำให้มีความตระหนกตกใจกัน
อันเนื่องมาจากข่าวระเบิดป่วนเมืองที่ปรากฏตามเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ ในวันนี้ (วันที่ 2 สิงหาคม 2562) การก่อความไม่สงบและทำให้เกิดการตื่นตระหนกของประชาชน รวมทั้งมีการแชร์ภาพ ข้อความต่าง ๆ ที่ทำให้ตื่นตระหนก โดยไม่มีการกลั่นกรอง คัดกรองกันก่อนเกี่ยว กระทรวงดิจิทัลฯ ห่วงใย และจะเร่งดำเนินการงานด้านดิจิทัลเพื่อความมั่นคง หาแนวทางในการจัดตั้งศูนย์คัดกรอง กลั่นกรอง ป้องกันเรื่องของเฟคนิวส์เซ็นเตอร์ (Fake News Center) เน้นสื่อสารข่าวการเตือนภัยพิบัติและข่าวลวงด้านความมั่นคง เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และลดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
กระผมได้มีการประชุมหารือเกี่ยวกับเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม (FaKe News) ตั้งแต่วันที่30 กรกฎาคม 2562 เป็นการเร่งรัดนโยบายด้านการส่งเสริมความมั่นคงทางด้านดิจิทัล มุ่งเน้นความมั่นคงด้านข่าวสาร โดยจะตั้งหน่วยงานศูนย์เฟคนิวส์เซ็นเตอร์ (Fake News Center) เน้นสื่อสารข่าวการเตือนภัยพิบัติและข่าวลวงด้านความมั่นคง เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และลดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งปรากฏตามเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ เร่งรัดหามาตรการในการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านต่างๆ กับภารกิจด้านการรักษาความปลอดภัยในโลกดิจิทัลและอาชญากรรมออนไลน์ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 กับกรณีศึกษาการใช้ Social Media ในบริบทของประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันมีผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยโทรศัพท์มือถือสูงถึง 180% ของประชากร และมีการใช้สื่อ Social Media สูงมาก โดยมีผู้ใช้งาน Facebook สูงสุดถึง 54 ล้านคน Line 42 ล้านคน Twitter 12 ล้านคนซึ่งการใช้สื่อ Social Media ของประชาชนดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความท้าทายต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม ศีลธรรม วัฒนธรรมและประเพณี และมีความขัดแย้งต่อกฎหมายและกฎระเบียบของประเทศไทยในหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายอาญาว่าด้วยการหมิ่นประมาท กฎหมายด้านการจัดเก็บภาษี กฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
และจะหามาตรการในการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านต่างๆ (1) พฤติกรรมที่รุนแรงและเกี่ยวกับอาชญากรรม ความรุนแรงและการยุยง บุคคลและองค์กรที่เป็นอันตราย การส่งเสริมหรือการเผยแพร่อาชญากรรม การร่วมมือกันทำอันตราย สินค้าควบคุม (2) ความปลอดภัย อาทิ การฆ่าตัวตายและการทำร้ายตัวเอง ภาพโป๊เปลือยของเด็ก และการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากผู้ใหญ่ การข่มเหงรังแกและ
การก่อกวน การละเมิดความเป็นส่วนตัวและสิทธิความเป็นส่วนตัวของรูปภาพ เรื่องล่อหลอกให้ถูกโจรกรรมทรัพย์สิน (3) เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม อาทิ คำพูดที่แสดงความเกลียดชัง เนื้อหารุนแรงและโจ่งแจ้ง เนื้อหาที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทบุคคลอื่น ภาพโป๊เปลือยของผู้ใหญ่และกิจกรรมทางเพศ การชักชวนทางเพศ ความรุนแรงและการทำร้ายจิตใจ (4) การหลอกลวงและ Fake News อาทิ สแปม การบิดเบือนความจริง ข่าวปลอม การล่อหลอก Fake Account (5) การเคารพทรัพย์สินทางปัญญา (6) คำขอที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา อาทิ คำขอจากผู้ใช้ มาตรการป้องกันเพิ่มเติมสำหรับผู้เยาว์ และ (7) ความสงบเรียบร้อยของสังคม อาทิ สถาบันหลักของประเทศ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นต้น
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกระบวนการทำงานของ Fake News Center จะต้องมีการดำเนินการให้มีความรวดเร็ว ตรวจสอบให้ได้รับรู้ถึงความถูกต้องและมีวิธีการบริหารจัดการข่าวปลอมให้ได้เร็วที่สุด โดยจะมีทีมงานติดตามและคัดกรองข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ มีคณะทำงานตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่มีแนวโน้มเป็นข่าวปลอม ทีมงานดำเนินขั้นตอนการตอบโต้ข่าวสารปลอม และเผยแพร่ข่าวสารที่ถูกต้อง ตลอดจนคณะทำงานประสานตรวจสอบข้อมูลและจัดทำข้อมูลที่ถูกต้อง
“ด้วยความห่วงใยต่อประชาชน และประเทศไทย กระทรวงดิจิทัลฯ จะแจ้งให้ประชาชนระมัดระวังกับปัญหาที่เกิดจากสื่อหลอกลวงด้วยภาพหรือข้อความที่เป็นเท็จ โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่หวังดีมีวัตถุประสงค์สร้างความปั่นป่วนในสังคม ต้องการสร้างกระแสในสังคม และด้วยเพราะสื่อสังคมออนไลน์ ที่การกดแชร์สามารถทำได้ง่ายจึงทำให้เกิดการเผยแพร่ข้อมูลเหล่านั้น โดยที่ยังไม่ได้ทบทวนหรือพิจารณาความเป็นจริงของข้อมูลก่อน และเมื่อมีการส่งต่อกันอย่างแพร่หลาย ทำให้เกิดกระแสความเชื่อที่ผิดในสังคม กลายเป็น “ข่าวลวง” (Fake News) ที่กลายเป็นผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างอย่างรวดเร็ว” นายพุทธิพงษ์ ฯ กล่าว