'ปารีณา' มาตามนัด! แจ้งความ 'ช่อ-อนค.' ปมเฟคนิวส์ วอนเห็นใจถูกใส่ร้าย
ส.ส.คนดัง "ปารีณา" ซ้อนวินจยย.ไปแจ้งความ "ช่อ-พรรคอนาคตใหม่ "หมิ่นปมเฟคนิวส์ แจงเป็นคนโดนเองถูกใส่ร้าย มั่นใจพยานหลักฐาน-พร้อมขึ้นศาลชนะแน่ ฝากคนอยู่เบื้องหลังให้หยุด
กรณีพรรคอนาคตใหม่ ยื่นคำฟ้องคดีน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.จังหวัดราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ต่อศาลอาญา ถนนรัชดาฯ โดยฟ้องในความผิด หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ฐานเผยแพร่ข่าวปลอมที่มีเนื้อความเป็นเท็จ สร้างความเกลียดชังในสังคม โดยตัดต่อภาพของ ช่อ-พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ รวมทั้งคณะทำงานพรรค ในลักษณะที่อาจทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าพรรคอนาคตใหม่มีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการก่อเหตุรุนแรงหลายจุดในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ทางน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่าจะไปแจ้งความกลับ ช่อ-พรรณิการ์ ที่สน.ลุมพินีนั้น
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 7 สิงหาคม ที่สน.ลุมพินี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ เดินทางเข้าพบพ.ต.ท.สมพงษ์ บัวหอม สว.(สอบสวน) สน.ลุมพินี เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับน.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และพรรคอนาคตใหม่ หลังได้มีการแถลงข่าวต่อว่าใส่ร้ายน.ส.ปารีณาให้ได้รับความเสียหาย ในข้อหาหมิ่นประมาท พร้อมนำคลิปการแถลงข่าวมาเป็นหลักฐาน
น.ส.ปารีณา กล่าวว่า วันนี้มาแจ้งความดำเนินคดีกับน.ส.พรรณิการ์ และพรรคอนาคตใหม่ หลังได้มีการแถลงข่าวใส่ร้ายตนเอง เบื้องต้นจะแจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาท ส่วนจะมีข้อหาอื่นเพิ่มหรือไม่นั้นขอให้เป็นดุลยพินิจของทางพนักงานสอบสวน โดยได้มีการพูดข้อความในลักษณะว่าตนเป็นคนที่ทำให้สังคมแตกแยก และทำข่าวปลอมหรือเฟคนิวส์ ทั้งที่จริงๆแล้วคนที่โดนเฟคนิวส์ไม่ใช่พรรคอนาคตใหม่ หรือคุณช่อหรือคุณธนาธร แต่คนที่โดนเฟคนิวส์คือตัวเอง เพราะหากมองย้อนกลับไปจะเห็นว่าตนเองโดนเฟคนิวส์เยอะมาก ทั้งเพจข่าวปลอม เว็บข่าวปลอม เฟซบุ๊กปลอม
กระทั่งล่าสุดมีเฟซบุ๊กปลอมออกไปต่อว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาด้วย ซึ่งส่วนตัวไม่เคยแม้แต่จะคิดจะทำอย่างนั้น และมีการนำเฟซบุ๊กปลอมดิฉันไปต่อว่า ด่าทอ หยาบคาย หลายคนรวมถึงคนในจ.ราชบุรีด้วย และมีการนำภาพตัวเองไปกล่าวหาว่ามีการโพสต์ในเฟซบุ๊กใช้คำพูดว่า ”ขอให้พ่อแม่มันตาย” และเป็นภาพที่เอาไปถอดถอนตัวเอง ซึ่งในความเป็นจริงจะนำไปถอดถอนในโซเชียลไม่ได้อยู่แล้ว แต่เป็นการบูลลี่ ซึ่งตัวเองก็โดนบูลลี่มาตลอดเพราะไปแตะต้องคนของเขา
ส่วนที่ทางด้านน.ส.พรรณิการ์ มีการไปฟ้องร้องต่อศาลอาญา ว่าตนเองมีการโพสต์ข้อความในลักษณะเฟคนิวส์ ยืนยันว่าตนเองมั่นใจในพยานหลักฐาน เเละพร้อมที่จะไปขึ้นศาล เพื่อต่อสู้คดีอยู่เเล้ว เเละมั่นใจว่าจะชนะด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ตนต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นคลิปปลอม รูปภาพปลอม คลิปปลอม เเละเฟซบุ๊กปลอม เเละยังถูกบูลลี่จากสังคมมาโดยตลอด ซึ่งไม่ใช่เเค่ตนเองเท่านั้น เเม้เเต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ถูกเฟคนิวส์เช่นกัน ซึ่งไม่ทราบว่าใครอยู่เบื้องหลัง เเต่วันนี้กลับปั้นหน้าไปที่ศาล ไปบอกว่าโดนเฟคนิวส์หรืออะไรต่างๆ คือใครกันแน่ ขอให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน และต้องดูเฟซบุ๊กที่นำไปยื่นต่อศาลอาญาให้ศาลเป็นผู้พิสูจน์ เพราะตนโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กทุกวัน และมีนักข่าวบางคนไปกดไลค์เพจหรือเฟซบุ๊กที่ไม่ใช่ของตัวดิฉันเองด้วยซ้ำ มีการก็อปปี้ภาพกิจกรรมของตัวเองไปโพสต์ล่อให้มีคนเข้ามาด่าตัวเองได้ เพราะเฟซบุ๊กส่วนตัวมีการปิดสาธารณะไปแล้ว
น.ส.ปารีณา กล่าวว่า ทั้งนี้ในส่วนของข่าวปลอม ตนต้องขอความเห็นใจจากสังคมด้วย เเละอยากจะขอให้ประชาชน เสพสื่อโซเชียลมีเดียอย่างมีวิจารณญาณตนอยู่ตรงนี้ก็ยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งนี้ตนเองขอต่อต้านคนที่ชังชาติ จะมาทำลายชาติบ้านเมือง สถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ตนก็โพสต์เเละเเก้ไขข้อความตามปกติอยู่เเล้ว เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรค เเละมีคนเห็นด้วยกับตนมาก ส่วนกรณีที่มีการพาดพิงถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าตนเองเป็นผู้โพสต์จริง เเละไม่กลัวการถูกฟ้องกลับ เพราะถ้าหากจะฟ้องกลับ นายทักษิณต้องกลับมาขึ้นศาลที่ประเทศไทย เเละที่สำคัญ ทุกครั้งที่เกิดเรื่องไม่ดีกับประเทศไทย ตนจะคิดถึงนายทักษิณก่อนเป็นคนเเรก
น.ส.ปารีณา กล่าวฝากถึงคนที่อยู่เบื้องหลังที่ส่งทีมงานไซเบอร์มากลั่นแกล้งบูลลี่ตน และสร้างภาพให้ตนเองเป็นคนไม่ดี ให้หยุดกระทำอย่างนั้น และขอความเห็นใจจากประชาชนว่าตนเองโดนบูลลี่มาตลอดจริงๆ ซึ่งศาลจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครเฟค
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางน.ส.ปารีณาได้เดินทางมาที่สน.ลุมพินี โดยได้นั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างมา เนื่องจากเกิดความสับสนเดินทางไปที่สน.ทองหล่อ เนื่องจากมีที่พักอาศัยอยู่ใน 2 พื้นที่ จากเดิมที่นัดหมายสื่อมวลชนไว้ในเวลา 10.00 น. จึงทำให้เดินทางมาล่าช้ากว่ากำหนด พร้อมกล่าวขอโทษสื่อมวลชนที่ทำให้ต้องรอนาน