สมอ.โชว์ผลงาน 9 เดือน ทะลุเป้า!!
สมอ. โชว์ผลงาน 9 เดือน ออกใบอนุญาตกว่า 7,400 ฉบับ พบผู้ประกอบการทำผิดกฎหมายลดลงกว่าเท่าตัว หลังลุยตรวจอย่างเข้มงวด
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. ยังคงเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อการลงทุน สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ตามนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0 อีกทั้งเร่งแก้ปัญหาสินค้าไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาดให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 – มิถุนายน 2562 ที่ สมอ. เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจตราสินค้าในท้องตลาด ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค พบว่ามีผู้ประกอบการมาขอใบอนุญาตเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 7,437 ฉบับ เมื่อเปรียบเทียบกับผลงาน 9 เดือนของปีที่ผ่านมา มีจำนวนเพิ่มขึ้น 2,585 ฉบับ คิดเป็น 54.63%
ทั้งนี้ ยังพบอีกว่ามีผู้ประกอบการทำผิดกฎหมายลดลงกว่าเท่าตัว เห็นได้จากมูลค่าการยึดอายัดผลิตภัณฑ์และการทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ยึดอายัดไว้ให้สิ้นสภาพ โดยปี 2561 มีผู้กระทำความผิดจำนวน 175 ราย มูลค่าการยึดอายัด 2,066.6671 ล้านบาท และปี 2562 มีผู้กระทำความผิดจำนวน 74 ราย มูลค่าการยึดอายัด 1,430.8958 ล้านบาท ลดลง 635.7713 ล้านบาท และมีผู้กระทำความผิดลดลงถึง 101 ราย ทั้งนี้ เป็นผลมาจากที่ สมอ. ดำเนินการอย่างเข้มงวดกับผู้ประกอบการที่ละเมิดกฎหมาย โดยจัดตั้งทีมเฉพาะกิจด้านการปราบปรามสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ลงตรวจสอบอย่างเข้มข้นในท้องตลาด และร้านค้าออนไลน์ด้วย
นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์และนโยบายรัฐบาลที่จะลดขั้นตอนการทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจตามนโยบาย Ease of Doing Business ของรัฐบาล ซึ่งได้มีการเพิ่มโทษสำหรับผู้ทำ นำเข้า และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เป็นมาตรฐานบังคับด้วย เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการกระทำความผิดลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “จากผลการดำเนินการดังกล่าว ทำให้ผู้ประกอบการไทยมีจิตสำนึกในเรื่องคุณภาพมาตรฐานมากขึ้น ซึ่งมีส่วนสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพการผลิต สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีผลิตภาพ (Productivity) เพิ่มสูงขึ้น และเพิ่มมูลค่าผลผลิต ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างบรรยากาศธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุน สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยไม่ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน”