ปรับแผนแก้'หมอกควัน' 4กระทรวงดันแผนเชิงรุก
รัฐบาลปรับแผนแก้สู้ปัญหาหมอกควันภาคเหนือ “ประวิตร” สั่ง 4 กระทรวงร่วมทำงาน ใช้กลไก “มหาดไทย” ขับเคลื่อนบูรณาการทุกหน่วยงาน มอบ “ผู้ว่าฯ” สั่งการเด็ดขาด กำชับทส.ลดพื้นที่ความร้อน 15 มี.ค. ถึง วันที่ 30 เม.ย. 2563 ขีดเส้น 3 ปี ทำเกษตรปลอดการเผา
วานนี้ (9 ต.ค.) ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ จ.เชียงใหม่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ประชุมมอบนโยบายเตรียมความพร้อม และรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือ ปี 2563 โดยมี พล.ท.ฉลองชัย ชัยยะคำ แม่ทัพภาคที่ 3 และผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ พร้อมรับฟังการนำเสนอการถอดบทเรียนการปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาพื้นที่ภาคเหนือในปี 2562 ที่ผ่านมา และการคาดการณ์สถานการณ์การเผาและปริมาณเชื้อเพลิง ตลอดจนแนวทางปฏิบัติทั้งการป้องกันและแก้ไข และการสนับสนุนการปฏิบัติของหน่วยงานต่างๆ ในปี 2563
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ปัญหาหมอกควันภาคเหนือ เป็นปัญหาที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และอยู่ในความสนใจของประชาชน ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานต้องเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็วเพื่อปกป้องสุขภาพอนามัยของประชาชน ดังนั้นขอให้ทุกคนทุ่มเทกำลังและทรัพยากร เพื่อหยุดการเผา และควบคุมไม่ให้ปริมาณฝุ่นละอองสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน ตลอดปี 2563
สำหรับแนวทางการปฏิบัติงานกระทรวงมหาดไทย จะป็นตัวกลางในการขับเคลื่อน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องติดตามสถานการณ์และบูรณาการ สั่งการป้องกัน และควบคุมการเผาในจังหวัดอย่างเคร่งครัด หากฝุ่นละอองสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน ให้ประกาศห้ามเผาโดยทันที นอกจากนี้จะต้องจัดระเบียบการเผาอย่างเป็นระบบให้ทยอยเผาในปริมาณที่ฝุ่นละอองไม่เกินมาตรฐานและสั่งการไปถึงระดับตำบล โดยเฉพาะตำบลเสี่ยงเผาซ้ำซาก ให้นายอำเภอ องค์การบริหารส่วนตำบล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่อย่างใกล้ชิด
ส่วนของกระทรวงกลาโหมสนับสนุนการลาดตระเวนและดับไฟทั้งภาคพื้นดิน และทางอากาศอย่างเต็มที่ และหารือในกรอบความร่วมมือคณะกรรมการชายแดน เพื่อให้ความร่วมมือ และกำชับให้ควบคุมการเผาบริเวณชายแดน อย่างเคร่งครัด
สำหรับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะต้องลดจุดความร้อน ในพื้นที่ป่าให้เป็นศูนย์ ในระหว่าง วันที่ 15 มี.ค. ถึง วันที่ 30 เม.ย. 2563 พร้อมกับระดมกำลัง อุปกรณ์ เครื่องมือจากนอกพื้นที่ มาเสริมการลาดตระเวน เฝ้าระวัง และดับไฟป่า ไม่ให้เกิดการลุกลามของไฟจนไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งให้ความช่วยเหลือ และร่วมมือกับประเทศ ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนตามกลไกอาเซียนอย่างจริงจัง
ส่วนกระทรวงคมนาคม ให้กวดขันไม่ให้มีการเผาในพื้นที่ริมทางหลวงโดยเด็ดขาด สำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้เร่งเปลี่ยนพื้นที่เกษตรทั้งหมดใน 9 จังหวัดภาคเหนือ ไปสู่การเป็นเกษตรปลอดการเผา ภายใน 3 ปี โดยกำกับให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์งดสนับสนุนผลผลิตทางการเกษตร ที่มาจากการบุกรุกป่าอย่างเด็ดขาดและเตรียมความพร้อมการทำฝนหลวง ในช่วงวิกฤติหมอกควัน
อย่างไรก็ตามขอให้ทุกหน่วยงาน สร้างความเป็นเอกภาพของข้อมูล เพื่อการสั่งการที่ถูกต้อง และลดความตื่นตระหนกของประชาชน โดยเผยแพร่ข้อมูลจุดความร้อน พื้นที่เกิดไฟไหม้ จากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และข้อมูลคุณภาพอากาศจากกรมควบคุมมลพิษ ที่สำคัญควรให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเชิงวิชาการที่ถูกต้อง ให้กับประชาชน โดยปรับรูปแบบการรายงานข้อมูล และสถานการณ์ ให้น่าสนใจ และเข้าถึงได้ง่าย เป็นชุดข้อมูลเดียวกันเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
ตลอดจนสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนถึงการดำเนินงานของภาครัฐ อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของหน่วย งานให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น เพื่อให้ความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหามากขึ้นกว่าเดิม ควบคู่กับการเข้มงวดในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
“ผมขอขอบคุณ ทุกหน่วยงานที่ได้เตรียมความพร้อม เพื่อรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือในครั้งนี้ ขอให้บูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การป้องกันปัญหาหมอกควัน เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นการลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในภาคเหนืออย่างยั่งยืน”
จากนั้น พล.อ.ประวิตร เป็นประธานปล่อยคาราวานต้านการเผา ลดหมอกควัน เพื่อคุณภาพอากาศที่ดีของภาคเหนือซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยงานหลายภาคส่วนที่รับผิดชอบ อาทิ ปภ. ชุดไฟป่า ชุดเสือไฟ เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ขณะที่ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า รัฐบาลเน้นเพิ่มการสร้างความเป็นเอกภาพของข้อมูล ให้ความรู้ และสร้างความเข้าใจเชิงวิชาการที่ถูกต้องให้กับประชาชน ในลักษณะของชุดข้อมูลเดียวกัน เน้นเข้าถึงได้ง่ายและสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับงานของภาครัฐต่อเนื่อง ซึ่งจากการถอดบทเรียนภาคเหนือในปี 2562 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือที่เกิดไฟป่าหมอกควัน
ทั้งนี้พบมีจุดความร้อนเพิ่มขึ้นในทุกพื้นที่ ทั้งเชียงใหม่เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำพูน น่าน แพร่ ลำปาง และตาก โดยเฉพาะช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ยังคงเกิดขึ้นใน 4 พื้นที่สำคัญ คือ พื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ริมทาง และในชุมชน โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2547 - 2556 ภาครัฐสามารถแก้ปัญหาไฟป่าหมอกควันได้ดีขึ้น และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในการแจ้งเหตุและเข้าช่วยรัฐควบคุมไฟป่าที่เกิดขึ้นไม่ให้ขยายวงกว้าง