เจรจาการค้าไปต่อ หลัง 'ทรัมป์-สี' ประกาศต้องการปิดดีล
เจรจาการค้าสหรัฐ-จีนไปต่อ หลัง "ทรัมป์-สี" ประกาศต้องการปิดดีลการค้าเฟสแรกร่วมกันภายในปีนี้ ถือเป็นข่าวดีที่ช่วยให้นักลงทุนในตลาดใจชื้นขึ้น
นักลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดทุนวุ่นวายกันมาตลอดทั้งสัปดาห์กับข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏตามหน้าสื่อ ทำให้เกิดความสับสนว่าจริงๆแล้วการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีความคืบหน้าหรือไม่คืบหน้า ยังติดขัดอุปสรรคข้อใดบ้าง และต้องใช้เวลาอีกมากน้อยแค่ไหน ทั้งสหรัฐและจีนจึงจะลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกร่วมกันได้
เมื่อวันศุกร์ (22พ.ย.)ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ออกมาสร้างความชัดเจนเรื่องนี้ด้วยการบอกว่า จีน ต้องการบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับสหรัฐ และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสงครามการค้าระหว่างกัน แต่ขณะเดียวกัน จีนก็ไม่กลัวถ้าจะต้ัองดำเนินมาตรการตอบโต้สหรัฐเมื่อจำเป็น
“เราต้องการทำงานเพื่อให้เกิดการบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกร่วมกันบนพื้นฐานของความเท่าเทียมและเคารพซึ่งกันและกัน แต่หากสถานการณ์พลิกผัน เราก็พร้อมดำเนินมาตรการตอบโต้ ที่ผ่านมา เราทำงานอย่างหนักเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดสงครามการค้า ซึ่งส่งผลกระทบไม่เฉพาะกับจีนและสหรัฐ แต่ส่งผลกระทบไปยังเศรษฐกิจโดยรวมด้วย ”ประธานาธิบดีสี กล่าว
คำพูดของสี สอดคล้องกับคำพูดของเกา เฟิง โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน ที่แถลงว่า จีนมีความยินดี บนพื้นฐานความเท่าเทียมและเคารพซึ่งกันและกันกับสหรัฐ ทำงานร่วมกันแก้ปัญหาที่ยังกังวล และต้องการทำข้อตกลงการค้าเฟสแรก ทั้งยังบอกว่าข่าวลือภายนอกเรื่องข้อตกลงการค้าล้วนไม่จริง และว่าตัวแทนทั้งสองฝ่ายยังคงติดต่อสื่อสารกันอย่างใกล้ชิด
สืบเนื่องจากเมื่อวันพฤหัสบดี(21พ.ย.) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวหลายรายว่า ข้อตกลงการค้าเฟสแรก อาจเสร็จสมบูรณ์ในปีหน้า เนื่องจากปักกิ่งกดดันให้ลดภาษีมากกว่านี้ และรัฐบาลทรัมป์เองก็ยื่นข้อเรียกร้องของตนเองด้วยเหมือนกัน
ผู้เชี่ยวชาญบางคนชี้ว่า นัดหมายถัดไปที่ต้องจับตาคือ วันที่ 15 ธั.ค. ซึ่งมาตรการเก็บภาษีศุลกากรสินค้าจีนมูลค่าราว 156,000 ล้านดอลลาร์จะมีผลบังคับใช้ โดย"คริสเตียน วิตตัน" นักวิชาการอาวุโสด้านยุทศาสตร์และการค้าของศูนย์เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติ และอดีตที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เชื่อว่า ถ้าการเจรจาราบรื่น สหรัฐจะระงับการขึ้นภาษีดังกล่าว แต่ถ้าสถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เหตุการณ์จะเป็นไปในทางตรงกันข้ามและทำให้ข้อตกลงการค้าเฟสแรกลากยาวไปถึงปีหน้า
ส่วน “จาง เยี่ยนเซิง” นักวิจัยหลักของศูนย์เพื่อการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของจีน ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองของทางการปักกิ่ง กล่าวในงานประชุมที่บลูมเบิร์กจัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีว่า สถานการณ์การประท้วงฮ่องกงเป็นปัจจัยลบในการเจรจาการค้า และหากไม่มีเรื่องวุ่นวายใดๆเกิดขึ้นก็มีแนวโน้มว่า ข้อตกลงขั้นต้นจะบรรลุผลภายในปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของวิตตัน ที่มองว่า การปราบปรามผู้ประท้วงในฮ่องกงอย่างรุนแรง ซึ่งสั่งการโดยรัฐบาลปักกิ่ง จะบั่นทอนโอกาสในการบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม การเจรจาการค้ายังมีอุปสรรคจากความขัดแย้งภายในทำเนียบขาวเองเกี่ยวกับแนวทางที่ดีที่สุดที่จะใช้กับจีน และจากข้อเท็จจริงที่ว่า ทรัมป์ อาจใช้สิทธิ์ยับยั้งข้อตกลงที่คณะเจรจาทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันแล้วในนาทีสุดท้าย
แต่ผู้เชี่ยวชาญของจีนและผู้เชี่ยวชาญทางการค้าบางคนที่รับรู้ความคืบหน้าในการเจรจา ยังคงมองในแง่ดีว่า สองชาติมหาอำนาจโลกอาจตกลงกันได้ภายในไม่กี่สัปดาห์นี้ ขณะที่ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันพุธ (20พ.ย.)ว่า ทีมเจรจาของสหรัฐยังคงเดินหน้าหารือกับทีมเจรจาของปักกิ่ง
ทั้งนี้ สถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าเริ่มคลี่คลาย หลังจากรัฐบาลสหรัฐ ออกใบอนุญาตให้บริษัทอเมริกันบางแห่งขายสินค้าให้หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมใหญ่สุดของโลกสัญชาติจีน ที่ถูกขึ้นบัญชีดำได้อีกครั้ง แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนในจีนกลับมองแง่ลบ โดย“หู สีจิน” บรรณาธิการโกลบอล ไทมส์ สื่อสิ่งพิมพ์ของทางการจีน ทวีตว่า มีคนจีนแค่กลุ่มเล็กๆ ที่เชื่อว่า จีนกับสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงการค้าร่วมกันในเร็วๆ นี้ พร้อมย้ำว่า แม้ปักกิ่งต้องการบรรลุข้อตกลงการค้าแต่ก็เตรียมพร้อมรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือการทำสงครามการค้ายืดเยื้อ
ขณะที่หนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชนา มอร์นิง โพสต์ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐและจีนกำลังใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกและมีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งเป็นกำหนดวันที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษี 15% จากสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 1.56 แสนล้านดอลลาร์
แต่ถึงแม้ทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนวันดังกล่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ก็มีแนวโน้มที่จะเลื่อนการจัดเก็บภาษีดังกล่าวออกไป เนื่องจากไม่ต้องการให้ผู้บริโภคของสหรัฐได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่จะพุ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงสมาร์ทโฟน หากมีการเรียกเก็บภาษีจากจีน ขณะที่ใกล้กับช่วงเทศกาลช็อปปิ้งของสหรัฐ
ขณะที่ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน และเป็นหัวหน้าคณะเจรจาการค้าของจีน ได้เชิญนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) เข้าร่วมการเจรจาการค้ารอบใหม่ที่กรุงปักกิ่ง