ฎีกาเพิ่มโทษปรับ-แก้รอลงอาญา 'สารวัตรสมิง' กับลูกน้อง คดียัดยาบ้า
ศาลฎีกา พิพากษาแก้โทษจำคุก "สารวัตรสมิง" พร้อมลูกน้อง 5 คน จำคุก 2-3 ปี เพิ่มโทษปรับ 2 หมื่น คดีจับสาวใหญ่เซ็นเอกสารรับจับคดียา ให้รอลงอาญา 2 ปี
ที่ห้องพิจารณา 902 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งที่ 3 คดีหมายเลขดำ อ.830/2549 ที่นางกรองกาญจน์ ถิ่นอ่อน อายุ 59 ปี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ต.สมิง รอดรัตษะ อดีต สว.สส.สน.พญาไท (ปัจจุบันยศ พ.ต.อ.) , ร.ต.อ.พรรณศักดิ์ วรบูลย์สวัสดิ์ อดีต รอง สว.สส.สน.พญาไท (ปัจจุบันยศ พ.ต.ท.) , ร.ต.อ.กิตติพงษ์ สิมมาลี , ด.ต.ภิญโญ แสงทิพย์ , ด.ต.อภิทักษ์ แก้วเกลื่อน , ด.ต.อวยชัย ทับสุรีย์ , จ.ส.ต.บุญเรือง บุตรวงศ์ , จ.ส.ต.รุ่งทิพย์ขำ , จ.ส.ต.(หญิง) ศศิธร ทับสุรีย์ , จ.ส.ต.วันเผด็จ แท่นรัตน์ และ ส.ต.ท.สุธรรม แย้มช่วย เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.พญาไท (ยศและตำแหน่งขณะเกิดฟ้องปี 2549) เป็นจำเลยที่ 1-11 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ เพื่อให้เกิดความเสียหายกับผู้อื่น , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารรับรองหลักฐานฯ อันเป็นเท็จ , ผู้ใดแจ้งข้อความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่อัยการ ผู้ว่าคดีฯ , ผู้ใดขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต เสรีภาพ ทรัพย์สินฯ และผู้ใดหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นทำให้ปราศจากเสรีภาพฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162, 172, 309, 310 ทวิ
กรณีเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.48 จำเลยที่ 1-11 ร่วมกันแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม นางกรองกาญจน์ โจทก์โดยไม่มีหมายจับของศาล และใช้กำลังและอาวุธบังคับขืนใจโจทก์ให้ขึ้นรถยนต์ไปกับพวกจำเลย ซึ่งระหว่างนั้นใช้ถุงดำคลุมศีรษะและรัดคอโจทก์ไว้ เพื่อข่มขู่ให้โจทก์รับสารภาพคดีมียาบ้าจำนวน 100 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งโจทก์ได้ปฏิเสธ แต่จำเลยไม่ยอมปล่อยตัวและไม่นำส่งพนักงานสอบสวนหรือพาไปยังสถานีตำรวจ กลับให้โจทก์พาไปโกดังของโจทก์เพื่อตรวจค้น แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แล้วจำเลยกับพวก กลับร่วมกันทำเอกสารการจับกุมและเอกสารอื่นๆ อันเป็นเท็จ โดยบังคับให้โจทก์ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวได้จัดพิมพ์ไว้แล้ว ซึ่งมีข้อความว่ารับสารภาพ
คดีนี้จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.52 เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องเป็นลำดับขั้นตอน หากไม่เป็นความจริงก็ยากที่จะปั้นแต่งเรื่องขึ้นเอง และยังสอดคล้องกับหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ถึง ผบ.ตร. ลงฉบับวันที่ 22 ก.ย. 48 ด้วย จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1, 2, 7, 8, 10,11 ทำผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามมาตรา 157 ที่เป็นบทหนักสุด จำคุกคนละ 5 ปี ส่วนจำเลยที่ 6, 9 จำคุกคนละ 4 ปีฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ซึ่งจัดทำเอกสารเท็จ โดยยกฟ้องจำเลยที่ 3, 4, 5
ต่อมาจำเลยที่ 1, 2, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ยื่นอุทธรณ์ กระทั่งมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2556 พิพากษาแก้เป็นให้ลดโทษ จำเลยที่ 1, 2, 7, 10 เหลือจำคุกคนละ 4 ปี และจำคุก 3 ปี จำเลยที่ 8, 11 โดยพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6, 9 และพิพากษายืนยกฟ้องส่วนจำเลยที่ 3, 4, 5
จากนั้นจำเลยที่ 1, 2, 7, 8, 10, 11 ยื่นฎีกาสู้คดี ส่วนจำเลยที่ 3, 4, 5 โจทก์ไม่ได้ยื่นฎีกา หลังจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง คงฎีกาในส่วนจำเลยที่ 6, 9 ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง
คดีนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาครั้งแรกวันที่ 22 มี.ค.61 แต่เนื่องจากครั้งนั้น พ.ต.อ.สมิง จำเลยที่ 1 และ จ.ส.ต.(หญิง) ศศิธร จำเลยที่ 9 มีอาการป่วย โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงศาลเชื่อว่าป่วยจริง จึงนัดอ่านคำพิพากษาฎีกาครั้งที่ 2 ในวันที่ 11 พ.ค.61 แต่ปรากฏว่า เนื่องจาก ร.ต.อ.วันเผด็จ แท่นรัตน์ จำเลยที่ 10 ยื่นคำร้องขอกลับคำให้การเป็นรับสารภาพ และขอให้ศาลลงโทษสถานเบา ซึ่งศาลสอบถามคู่ความแล้วไม่คัดค้าน ศาลจึงส่งสำนวนและคำร้องของจำเลยที่ 10 กลับให้ศาลฎีกาพิจารณาอีกครั้ง กระทั่งนัดฟังคำพิพากษาฎีกาครั้งที่ 3 ในวันนี้ (18 ธ.ค.62) ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.พรรณศักดิ์ วรบูลย์สวัสดิ์ จำเลยที่ 2 ก็ยื่นคำร้องขอกลับคำให้การเป็นรับสารภาพเช่นกัน
ขณะที่วันนี้ พ.ต.อ.สมิง จำเลยที่ 1 กับพวกจำเลยลูกน้องที่ได้ยื่นฎีกาและได้รับการประกันตัวเดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โดยเมื่อถึงเวลานัด ศาลได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาในส่วนที่จำเลยที่ 2 , 10 ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมจากที่เคยให้การปฏิเสธ เป็นให้การรับสารภาพ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าการถอนคำให้การของจำเลยที่ 2 , 10 ต้องยื่นก่อนศาลมีคำพิพากษา พฤติการณ์เป็นลักษณะการประวิงเวลาอ่านคำพิพากษา จึงไม่อนุญาต โดยให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง
จากนั้นศาลได้อ่านผลคำพิพากษาศาลฎีกา โดยพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1, 2, 7, 8, 10, 11 กระทำความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบซึ่งเป็นบทหนักสุด จากเดิมจำคุกจำเลยที่ 1, 2, 7, 10 คนละ 4 ปี เป็นจำคุกคนละ 3 ปี เพิ่มโทษปรับคนละ 20,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 8, 11 จากเดิมจำคุกคนละ 3 ปี เป็นจำคุกคนละ 2 ปี เพิ่มโทษปรับคนละ 20,000 บาท โดยโทษจำคุกจำเลยทั้งหกให้รอลงอาญาไว้คนละ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์