'เจาะคอ' อีกหนึ่งวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ควรรู้
กรมการแพทย์ชี้ 'เจาะคอ' อีกหนึ่งวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ควรรู้
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การเจาะคอเป็นหัตถการรูปแบบหนึ่ง โดยแพทย์จะผ่าตัดใส่ท่อหลอดลมคอผ่านผิวหนังที่ลำคอ เพื่อสร้างทางติดต่อระหว่างหลอดลมกับผิวหนังบริเวณด้านหน้าของลำคอ ทำให้อากาศสามารถผ่านเข้าสู่ปอดโดยไม่ผ่านช่องจมูกและลำคอส่วนบน เพื่อเป็นการบรรเทาอาการอุดกั้นในระบบทางเดินหายใจส่วนบนหรือในการดูแลเสมหะและป้องกันการสำลักในผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นระยะเวลานานหรือผู้ป่วยที่มีเสมหะมากไม่สามารถไอออกเองได้ เช่น ผู้ป่วยอัมพาต ผู้ป่วยไม่รู้สติ เป็นต้น
นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางเลือกในการควบคุมทางเดินหายใจนอกเหนือจากการเจาะคอ ได้แก่ 1.การใส่ท่อช่วยหายใจทางปากหรือจมูก เป็นวิธีที่สามารถทำได้รวดเร็วเพื่อควบคุมทางเดินหายใจของผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉิน แต่หากผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจเป็นระยะเวลานานมากกว่า 2 – 3 สัปดาห์ โดยทั่วไปผู้ป่วยควรได้รับการเจาะคอ 2.การเจาะเยื่อระหว่างกระดูก Cricoid และกระดูก Thyroid เป็นหัตถการที่ใช้เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยในภาวะฉุกเฉิน ในกรณีที่ไม่สามารถใส่ท่อช่วยหายใจได้ และไม่พร้อมที่จะเจาะคอเนื่องจากมีเวลาจำกัดหรืออยู่ในสถานที่ที่ไม่มีความพร้อมของเครื่องมือ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ป่วยอยู่ในภาวะที่ปลอดภัยแล้วควรเปลี่ยนเป็นการเจาะคอ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถดูแลทางเดินหายใจของผู้ป่วยได้ง่าย ป้องกันปัญหากล่องเสียงและหลอดลมคอตีบแคบ ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่ใส่ท่อหลอดลมคอควรดื่มน้ำมากๆ ดูแลร่างกายให้อบอุ่น หลีกเลี่ยงในที่อากาศเย็นหรือแห้งจัดเพื่อป้องกันการเกิดเสมหะอุดตันที่ท่อหลอดลมคอ ไม่คลุกคลีกับคนที่เป็นหวัดเนื่องจากผู้ที่ใส่ท่อหลอดลมคอจะขาดปัจจัยป้องกันตนเองจากเชื้อโรคในอากาศโดยระบบของทางเดินหายใจส่วนบน และระวังน้ำหรือสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าท่อหลอดลม อย่างไรก็ตามหากพบอาการผิดปกติ เช่น ท่อหลอดลมหลุด ท่อชั้นในหาย หรือใส่เข้าไปไม่ได้ หายใจลำบาก หอบเหนื่อย มีการ ปวด บวม แดง มีหนอง หรือมีเลือดออกจากท่อหลอดลม ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป