ธปท.คาด 'เงินเฟ้อ' ขยับเข้ากรอบเป้าหมายปี 64 

ธปท.คาด 'เงินเฟ้อ' ขยับเข้ากรอบเป้าหมายปี 64 

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ครั้งที่ 8/2562 วันที่ 18 ธ.ค. 2562 ซึ่งคณะกรรมการมีมติเอกฉันฑ์ 7 ต่อ 0  คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25%  ประเมินเศรษฐกิจไทยปี2562ขยายตัว 2.5% และปี2563ขยายตัว 2.8%

คณะกรรมการฯ ได้อภิปรายถึงปัจจัยที่มีผลต่อการพิจารณาดำเนินนโยบายการเงิน ดังนี้  1.เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าประมาณการเดิมและ “ต่ำกว่าระดับศักยภาพ” จากการส่งออกสินค้าที่หดตัวมากกว่าประมาณการเดิมและมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด ส่งผลไปสู่การจ้างงานและอุปสงค์ในประเทศ ด้านการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากการเลื่อนลงทุนบางโครงการ ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากรายได้ของครัวเรือนและการจ้างงานที่ปรับลดลง 

เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปยังเผชิญกับความไม่แน่นอน ได้แก่การกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งมีนัยต่อแนวโน้มเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญของไทยโดยเฉพาะจีนและเอเชีย, ความไม่แน่นอนของการใช้จ่ายภาครัฐ และผลต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชน, การบริโภคภาคเอกชนที่อาจชะลอตัวกว่าคาดจากการจ้างงานและรายได้ที่ลดลง และ ความเสี่ยงของภัยแล้งในปี2563ที่อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตและรายได้ภาคเกษตร

 คณะกรรมการฯ กังวลต่อสถานการณ์เงินบาทที่ยังแข็งค่า เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่ แม้จะแข็งค่าชะลอลงและเคลื่อนไหวทั้งสองทิศทางมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา  ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงผลกระทบต่อกำไร สภาพคล่องของธุรกิจ และความสามารถในการชำระหนี้ซึ่ง “ด้อยลง”ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทและเงินทุ เคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด รวมถึงให้ติดตามประสิทธิผลของการผ่อนคลายกฎเกณฑ์กำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินเพื่อเอื้อให้เงินทุนไหลออก และพิจารณาความจำเป็นในการดำเนินมาตรการเพิ่มเติม

 2. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี 2562 และปี 2563 มีแนวโน้ม “ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ”  จากราคาพลังงานที่ต่ำกว่าคาด ตามเศรษฐกิจโลกที่ยังขยายตัวในระดับต่ำและอุปทานพลังงานที่จะเพิ่มขึ้น ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มทยอยปรับสูงขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้นในระยะต่อไป  แต่ยังมีความไม่แน่นอนจากความผันผวนของราคาน้ำมันและสภาพอากาศ นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง อาทิ ผลกระทบจากการขยายตัวของธุรกิจ e-commerce การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นช้ากว่าในอดีต   ประเมินว่านโยบายการเงินที่ได้ผ่อนคลายมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทยอยปรับเพิ่มขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564

3.ความเสี่ยงในระบบการเงินได้รับการดูแลไปแล้วบางส่วน  อาทิ ความเสี่ยงในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับดีขึ้นหลังมาตรการ LTV มีผลบังคับใช้ สะท้อนจากการเก็งกำไรที่ชะลอลงและการปรับตัวของผู้ประกอบการ อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงในจุดอื่น ๆ ยังไม่ปรับดีขึ้นและ เป็นประเด็นที่ต้องติดตาม อาทิ  ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs ที่มีแนวโน้มด้อยลง ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องสะสมความเปราะบางมากขึ้น พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ นำไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และสหกรณ์ออมทรัพย์ และ ความเสี่ยงในอสังหาริมทรัพย์จากอุปทานคงค้างในบางพื้นที่ 

 ทั้งนี้ ในระยะต่อไปที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ และยังมีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน การดูแลความเสี่ยงต่าง ๆ ควรใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายควบคู่กับการใช้มาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (microprudential) และมาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (macroprudential) ร่วมกันอย่างเหมาะสม คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ ธปท. ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลักดันการใช้มาตรการเชิงโครงสร้างในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและธุรกิจ SMEs อาทิ การนำแนวทางการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบไปใช้อย่างเหมาะสม การปรับโครงสร้างหนี้และคลินิกแก้หนี้ รวมทั้งการสร้างวินัยทางการเงินและส่งเสริมการออมของครัวเรือน 

นอกจากนี้ เห็นควรให้ติดตามผลของมาตรการที่ได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และศึกษามาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติมเพื่อดูแลความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า โดยคณะกรรมการฯ จะติดตาม พัฒนาการของข้อมูล (data-dependent) ทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเพิ่มขึ้นเพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมในระยะต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม 

คณะกรรมการฯ เห็นถึงความจำเป็นในการประสานเชิงนโยบายและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในการสนับสนุนการฟื้นตัว และการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบกับความสามารถในการแข่งขัน และแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน

157798234845