‘มิตซูบิชิ-โนมูระ-วินกรุ๊ป’ร่วมพัฒนาโฮจิมินห์สมาร์ทซิตี้
บริษัทชื่อดังสัญชาติญี่ปุ่นสองแห่งคือ มิตซูบิชิ คอร์ป และโนมูระ เรียล เอสเตท ดีวีล็อปเมนท์ ร่วมมือกับวินกรุ๊ป กลุ่มบริษัทใหญ่สุดของเวียดนามร่วมทุนพัฒนาโฮจิมินห์ ซิตี้ ศูนย์กลางการค้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเมืองอัจฉริยะ
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากสภาปกครองนครโฮจิมินห์ เมืองใหญ่ทางตอนใต้ของเวียดนาม เป็นตัวแทนในการเซ็นสัญญาระหว่างไซง่อน ไฮเทค ปาร์ค กับซีบีเอ เวนเจอร์ จากเกาหลีใต้ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนร่วมกัน
‘ลี บิช โลน’ ผู้บริหารระดับสูงของไซ่ง่อน ไฮ-เทค ปาร์ค กล่าวว่า บล็อกเชนสามารถทำให้การทำธุรกรรมการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความโปร่งใสและใช้งานง่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์
นครโฮจิมินห์ วางแผนสร้างเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะหรือสมาร์ทซิตี้โดยใช้บล็อกเชนรวมถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการนำมาใช้แก้ไขปัญหาต่างๆรวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเมือง การที่จะไปถึงจุดนั้นได้เวียดนามจะต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลให้ได้เสียก่อน
ด้านรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเวียดนาม ประกาศแผนที่จะส่งเสริมสตาร์ทอัพทางด้านบล็อกเชนในเวียดนาม ภายใต้แผนการพัฒนานวัตรกรรมแห่งชาติปี 2568 ซึ่งรัฐบาลอนุมัติมาตั้งแต่ปี 2559 โดยตั้งเป้าที่จะส่งเสริมให้เกิดสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ 2,000 ราย
ปัจจุบัน บล็อกเชน ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาเมืองให้เป็นสมาร์ทซิตี้ในหลายๆประเทศอย่างเช่น จีน สหรัฐ ดูไบ และเกาหลีใต้
ทั้งมิตซูบิชิ และโนมูระ แข่งขันเข้าไปมีส่วนร่วมกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในหลายประเทศของเอเชีย โดยทั้งสองบริษัทเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆตั้งแต่ระบบการจดจำใบหน้าไปจนถึงการมอนิเตอร์ตั้งแต่จุดแรกที่เข้าสู่ประเทศแต่ละประเทศด้วยระบบอัตโนมัติ รถโดยสารประจำทางขับเคลื่อนด้วยอัตโนมัติ ตลอดจนเทคโนโลยีอื่นๆ
วินโฮม บริษัทในเครือวินกรุ๊ปของเวียดนาม ตั้งเป้าพัฒนาเมืองอัจฉริยะในฝั่งตะวันตกของโฮจิมินห์ ซิตี้ให้แล้วเสร็จภายในปี 2566 ซึ่งภายใต้แผนนี้ จะมีที่พักอาศัย โรงเรียน โรงพยาบาลและศูนย์กลางการค้าเกือบ 50,000 ยูนิต โดยมิตซูบิชิ และโนมูระถือหุ้นฝ่ายละ 40% ส่วนวินโฮมถือครองส่วนที่เหลือ 20%
สหประชาชาติ (ยูเอ็น)ระบุว่า ความเป็นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่า 61% ของประชากรในภูมิภาคจะย้ายเข้าไปอยู่ในเขตเมืองในปี 2583 เพิ่มจาก 47%ในปี 2558 โดยในช่วง10ปีที่ผ่านมา จำนวนประชากรในโฮจิมินห์ ซิตี้เพิ่มขึ้น20% เป็น 9 ล้านคน
ขณะที่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา มักเน้นเข้าไปลงทุนในตลาดใหญ่ๆอย่างในสหรัฐ หรือในญี่ปุ่น เริ่มปรับกลยุทธ หันมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่แทน ซึ่งรวมถึง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรตามเมืองใหญ่เหล่านี้ให้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและไลฟ์สไตล์ที่มีความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ส่วนวินกรุ๊ป เริ่มต้นดำเนินธุรกิจด้วยการเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก่อนที่จะขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ รวมถึง สมาร์ทโฟนและผลิตรถยนต์ เมื่อปลายปีที่แล้ว กลุุ่มบริษัทนี้ส่งสัญญาณว่าจะปรับเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินธุรกิจและจะลดพอร์ทการลงทุนให้น้อยลง
เมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทวินกรุ๊ป ประกาศถอนตัวจากธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อและร้านจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ล่าสุด เดือนนี้ วินกรุ๊ป ประกาศล้มแผนที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจการบินพลเรือน เพื่อหันมามุ่งเน้นทำประโยชน์จากทรัพยากรที่มีและมุ่งความสนใจไปที่ธุรกิจเทคโนโลยีเป็นหลัก
ในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.ปี2562 วินกรุ๊ป ราบงานยอดขายเพิ่มขึ้น 35% เป็น 31 ล้านล้านด่อง ส่วนกำไรสุทธิร่วงลง 53% เหลือ 700,000 ล้านด่องโดยวินฟาสต์ หน่วยงานด้านการผลิตรถ ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ฉุดผลกำไรสุทธิบริษัทให้ลดลง
วินฟาสต์ ซึ่งเริ่มเดินสายการผลิตรถในเดือนมิ.ย. ประกาศว่าผลิตรถยนต์ในช่วง6เดือนแรกได้จำนวน 15,300 คัน ห่างไกลจากเป้าที่บริษัทตั้งไว้ที่ปีละ 250,000 คันอยู่มาก
อย่างไรก็ตาม โรงงานผลิตรถยนต์ของกลุ่มบริษัทวินกรุ๊ป ถือเป็นหลักไมล์และความภาคภูมิใจของรัฐบาลในฐานะเป็นผู้ผลิตรถยนต์แห่งชาติยี่ห้อวินฟาสต์ที่ผลิตในเวียดนามทั้งคัน และเริ่มส่งมอบรถยนต์คันแรกให้ลูกค้าในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ โดยวินกรุ๊ป ตั้งเป้าผลิตรถวินฟาสต์ เพื่อขายในประเทศเป็นหลัก หวังรองรับความต้องการรถยนต์ในเวียดนามที่เพิ่มขึ้น เนื่องมาจากชนชั้นกลางเติบโตขึ้น