ศึก 'สหรัฐ-จีน' ยังสู้กันอีกหลายยก
สงครามการค้าจีน-สหรัฐ คงจะมีอีกหลายยก เพราะจากข้อตกลงการค้า เฟส 1 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่ยังมีเฟส 2 ที่จะตามมาอีก รวมถึงขณะนี้ยังต้องประสบกับสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าในจีนอีกด้วย
โบราณว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ มหาอำนาจเศรษฐกิจโลกอย่างสหรัฐกับจีนยืนยันคำโบราณได้เป็นอย่างดี วันนี้แม้จะอยู่ร่วมโลกแต่ก็อยู่อย่างมีชั้นเชิง ไม่มีใครยอมใคร สงครามการค้าที่เปิดฉากขึ้นตั้งแต่เดือน ม.ค.2561 ต่างฝ่ายต่างเก็บภาษีโต้ตอบกันจนฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกให้ซบเซาลงไปด้วย เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าศักดิ์ศรียอมกันไม่ได้ แม้สุดท้ายสหรัฐ-จีนจะลงนามข้อตกลงการค้าเฟส 1 โดยจีนยอมซื้อสินค้าเกษตรเพิ่มจากสหรัฐ ส่วนสหรัฐก็ปรับลดภาษีให้
แต่งานนี้ใช่ว่าสหรัฐจะเป็นฝ่ายชนะ แม้จะลงนามกันที่กรุงวอชิงตัน บนแผ่นดินสหรัฐตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยลั่นวาจาไว้ แต่ผู้ร่วมลงนามดีลเฟส 1 กับทรัมป์ คือรองนายกรัฐมนตรีหลิว เหอ ไม่ใช่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อย่างที่ควรจะเป็น สงครามการค้ายังไม่จบ เฟส 1 แค่หนังตัวอย่าง เชื่อว่าเฟส 2 ที่จะตามมา จะเจรจากันยากขึ้น
ผ่านการลงนามเฟส 1 ไปไม่กี่วัน โลกต้องเผชิญปัญหาใหม่ที่แก้ยากพอๆ กัน นั่นคือ "ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่" จากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ทางภาคกลางของจีน มีรายงานพบผู้ติดเชื้อคนแรกเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2562 ก่อนที่จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตพุ่งไม่หยุด เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลของรัฐบาลปักกิ่ง เพราะเคยมีประวัติปกปิดข้อมูลช่วงที่โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง (ซาร์ส) ระบาดเมื่อปี 2545-2546 มาแล้ว สหรัฐเองพบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อวันที่ 21 ม.ค.2563 เมื่อสื่อมวลชนตั้งคำถามถึงการรับมือ ทรัมป์ยืนยันว่าควบคุมได้และเชื่อมั่นในความโปร่งใสของรัฐบาลปักกิ่ง ก่อนย้ำความสัมพันธ์ของตนกับสี จิ้นผิงดีมากๆ
นับแต่วันที่ 26 ม.ค.ต่างชาติเริ่มทยอยนำพลเมืองตนเองออกจากอู่ฮั่น เริ่มจากญี่ปุ่นตามด้วยสหรัฐ หลังจากนั้นรัฐบาลวอชิงตันออกมาตรการสกัดการแพร่ระบาด ไม่ว่าจะเป็นห้ามคนต่างชาติที่เดินทางไปจีนในช่วง 2 สัปดาห์เข้าสหรัฐเป็นการชั่วคราว โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่า ไม่สามารถปล่อยให้คนเป็นพันๆ ที่มีปัญหาไวรัสโคโรนาเข้ามาได้ และว่าทางการสหรัฐเสนอความช่วยเหลือขนานใหญ่ให้กับจีน ขณะที่โรเบิร์ต โอไบรอัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาว บ่นอุบที่จีนไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากสหรัฐ สิ่งเหล่านี้ฟังดูแล้วเหมือนเป็นความเอื้ออาทรท่ามกลางความทุกข์ยากที่จีนชาติเดียวคงแก้ปัญหาไวรัสไม่ได้แน่ องค์การอนามัยโลกก็ประกาศให้เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโลกไปแล้ว
แต่หัว ชุนอิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ออกมาแถลงจัดหนักเมื่อจันทร์ที่ผ่านมา (3 ก.พ.) ว่า สหรัฐนั่นแหละที่ใช้มาตรการสร้างและแพร่กระจายความหวาดกลัวต่อสถานการณ์ไวรัสระบาดในจีน ไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไรใหญ่โต ทำอย่างเดียวคือ "สร้างความตื่นตระหนก" เป็นประเทศแรกที่เสนอให้ถอนเจ้าหน้าที่สถานทูตออกจากจีน เป็นประเทศแรกที่ห้ามนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศ จีนได้แต่หวังว่าประเทศอื่นจะตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล สุขุมและยึดหลักวิทยาศาสตร์
เมื่อฟังถ้อยแถลงจากจีนแล้ว เราเห็นว่าประเทศต่างๆ รวมถึงไทยควรตั้งรับแบบเข้าใจบริบทของ 2 ขั้วมหาอำนาจโลกที่ต้องยืดเยื้อ ยอมกันไม่ได้ วันนี้ต้องยอมรับว่าจีนกำลังเจอศึกหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัส เร่งระดมสรรพกำลังทั้งป้องกันและรักษา และการที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนต้องออกมาแถลงแบบนี้แสดงว่า "เหลืออด" เชื้อว่า "สงครามการค้าจีน-สหรัฐ" จะลามไปทุกสมรภูมิ และศึกศักดิ์ศรีของทั้งคู่ แม้ล่าสุดสหรัฐจะได้รับอนุญาตให้ส่งเจ้าหน้าที่แพทย์ไปช่วยจีนได้แล้ว ทว่าศึกนี้ยังคงมีอีกหลายยก