โบรกเปิดโผ ‘กลุ่มหุ้น’ รับอานิสงส์น้ำมันขาลง
โบรกฯ ส่องหุ้นรับประโยชน์ช่วงสงครามน้ำมัน หลังราคาดิ่งลงแรงกว่า 30% คาด “4 ธุรกิจ” ปั้มน้ำมัน-รับเหมาก่อสร้าง-กลุ่มเครื่องดื่ม-ยางมะตอย รับผลบวกเต็มๆ แนะเล่นเก็งกำไรระยะสั้น
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้(9มี.ค.) ปรับตัวลดลงรุนแรง ตามแรงเทขายในหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี หลังราคาน้ำมันดิบตลาดโลกร่วงลงกว่า 30% จากกรณีที่ “ซาอุดิอาระเบีย” ประเทศลดราคาพรีเมี่ยมน้ำมันและเพิ่มกำลังผลิต ซึ่งตลาดตีความว่า “ซาอุฯ” กำลังเปิดสงครามราคาน้ำมัน
นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันที่ดิ่งลงแรง แม้ว่าจะสร้างแรงกดดันต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่ปรับตัวลดลง แต่ขณะเดียวกันยังมีหุ้นบางกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลงด้วย
เบื้องต้นคาดว่าจะมีหุ้น 2 กลุ่มหลักๆ ที่ได้ประโยชน์จากกรณีดังกล่าว ได้แก่ 1.กลุ่มที่ประกอบธุรกิจปั้มน้ำมัน อาทิ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี(PTG) เพราะราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจะส่งผลให้จำนวนผู้มาใช้บริการเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับคาดว่าส่วนต่างค่าการตลาดจะปรับตัวสูงขึ้น เพราะโรงกลั่นจะมีการปรับลดราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปให้กับกลุ่มปั้มน้ำมันลงเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อมากขึ้น
อีกกลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากต้นทุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมูนิตี้) ที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งได้อานิสงส์จากราคาเหล็กและวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวลดลง ,กลุ่มเครื่องดื่ม เช่น บมจ.โอสถสภา(OSP) และ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป(CBG) ได้รับผลดีจากราคาน้ำตาลและต้นทุนการขนส่งที่จะปรับตัวลดลง , บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์(TASCO) โดยต้นทุนราคาน้ำมันดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตยางมะตอยจะถูกลง
นอกจากนี้ กลุ่มที่ใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและเม็ดพลาสติกอย่าง บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย)(TOA) และบมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป(EPG) ที่ต้นทุนวัตถุดิบจะปรับตัวลดลง รวมถึงกลุ่มกระเบื้องและขวดแก้วอย่าง บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส(BGC) และ บมจ.ไดนาสตี้เซรามิค(DCC) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นต้นทุนในการผลิตสัดส่วนกว่า 30%
ส่วนด้านกลยุทธ์การลงทุนในกลุ่มหุ้นดังกล่าวช่วงนี้นั้น มองว่าการลงทุนในช่วงระยะสั้น (ช่วง 1-3 เดือน) ยังสามารถข้าลงทุนได้ เนื่องจากคาดว่านโยบายของกลุ่มโอเปกไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงในช่วงดังกล่าว ขณะที่การลงทุนในระยะยาว ยังต้องติดตามการเจรจาระหว่างกลุ่มโอเปกและรัสเซียว่าจะจบลงเมื่อไหร่ ซึ่งเบื้องต้นยังไม่แน่ชัดว่าสงครามด้านราคาน้ำมันจะลากยาวไหว ซึ่งต้องดูการเจรจาในระยะถัดไป
“เทคนิคการลงทุนช่วงนี้ เชื่อว่าระยะสั้นยังเล่นได้ เพราะราคาน้ำมันน่าจะถูกกดดันต่อเนื่องในช่วง 1-3 เดือนจนกว่าเกมส์สงครามด้านราคาระหว่างกลุ่มโอเปกและรัสเซียจะจบลง ซึ่งต้องดูว่าลากยาวไหม เพราะยังไม่มีใครกล้าฟันธง”
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า แนวโน้มสงครามราคาน้ำมันจะกดดันกลุ่มพลังงานและถ่วงตลาดหุ้นในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลงคือ ได้แก่ 1.สายการบิน,2.วัสดุก่อสร้าง อาทิ TASCO, TOA, EPG
3.ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จากต้นทุนลงเร็วกว่ารายได้ เช่น บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์(GULF),บมจ.บี.กริม เพาเวอร์(BGRIM) และบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่(GPSC), 4.ผู้ประกอบการที่ต้นทุนอิงพลังงาน OSP,BGC และ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์(BJC) และ 5.กลุ่มการบริโภคจากกำลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนการใช้พลังงานลดลง เช่น บมจ.ซีพี ออลล์(CPALL)