จีนเริ่มกลับมา Restock สินค้า (แค่ชั่วคราว)
แม้สถานการณ์ในจีนเริ่มดีขึ้น เกิดการ Restock สินค้าขึ้น แต่ยังคงเป็นช่วงระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะยังมีปัจจัยกดจากประเทศอื่นๆ ที่สถานการณ์ยังไม่สู้ดี ทำให้ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนต่อไป ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงต้องเน้นไปที่หุ้นพื้นฐานดี
ห่วงโซ่อุปทานทั่วทั้งโลกหยุดชะงักไปตั้งแต่ปลายเดือน ม.ค. เหตุจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศจีน ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในจีนจำเป็นต้องหยุดการดำเนินงานธุรกิจชั่วคราว การหยุดผลิตสินค้า และหยุดการซื้อวัตถุดิบต่างๆ ทำให้ปริมาณสินค้าคงคลังที่จีนลดลงต่ำมาก การหยุดชะงักของภาคการบริโภคและภาคการผลิตที่จีน จึงส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ตั้งแต่หลังเทศกาลตรุษจีนเป็นต้นมา อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัย บล. เคจีไอ (ประเทศจีน) ออก บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานล่าสุด เริ่มเห็น สัญญาณการฟื้นของภาคธุรกิจที่จีนแล้ว และส่งผลให้มีโอกาสที่จะเกิดการ Restock สินค้าล็อตใหญ่จากจีน
Spread ของปิโตรเคมี (ส่วนต่างราคาขายปิโตรเคมีกับต้นทุนการผลิต) เริ่มฟื้นตัวจากทั้งปัจจัยด้านอุปสงส์และอุปทาน โดย i) โรงงานอุตสาหกรรมที่จีนหลายแห่งเริ่มกลับมาดำเนินการผลิต หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัส ที่สามารถควบคุมได้ดีขึ้นที่ประเทศจีน ทพให้เริ่มมีการสั่งซื้อสินค้า โดยเฉพาะวัตถุดิบการผลิตอย่างสินค้าประเภทปิโตรเคมีอีกครั้ง
ii) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นด้านอุปสงส์ ขณะเดียวกัน Spread ของปิโตรเคมีที่ฟื้นตัวขึ้นมาอาจเป็นผลจากฝั่งอุปทานที่ลดลงด้วยอีกทางเช่นกัน iii) อุปทานปิโตรเคมีที่ลดลง มาจากการลดกพลังการผลิตของโรงงานปิโตรเคมีหลายแห่งในช่วงที่ Spread ของปิโตรเคมีลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงหรือต่พกว่าจุดคุ้มทุน
นอกจากนี้สถานการณ์ล่าสุดที่เกิดเหตุระเบิดที่โรงงานปิโตรเคมี (Naphtha cracker) ที่ประเทศเกาหลี (Lotte Chemical) เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน ที่แม้ว่าจะมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นในประเทศจีน และทำให้มีการ Restock สินค้าเกิดขึ้น แต่การแพร่ระบาดในประเทศอื่นๆ นอกจากจีน จะเป็นปัจจัยกดดันอุปสงส์สินค้าต่างๆ ทั่วโลกอีกครั้ง ทำให้เราประเมินว่าการ ฟื้นตัวของ Spread ปิโตรเคมีรอบนี้อาจ เป็นเพียงการฟื้นตัวในระยะสั้น จากการ Restock สินค้าและอุปทานที่ลดลงชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แท้จริง
ทั้งนี้เราประเมินว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งจากมาตรการการเงินและการคลังของหลายๆ ประเทศทั่วโลกในขณะนี้ โดยเฉพาะการออกมาตรการฉุกเฉิน โดยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาล่าสุด ขณะที่สัญญา CME เฟดฟันด์ฟิวเจอร์ให้น้ำหนักว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยระยะสั้นเพิ่มเติมอีก 0.50% ในการประชุมวันที่ 18 มี.ค.นี้ ซึ่งได้สะท้อนมายังอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐ อายุ 10 ปีที่ปรับลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในขณะนี้
การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบฉุกเฉินครั้งนี้ ระยะสั้นอาจไม่ส่งผลดีต่อตลาดการเงินมากนัก แม้ในทางทฤษฎีทางการเงินแล้ว การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นปัจจัยบวกต่อ Valuation ของสินทรัพย์ต่างๆ อาทิ ตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนอาจตีความหมายว่า แนวโน้มของสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐและทั่วโลกมีโอกาสที่จะย่ำแย่มาก จนทำให้จำเป็นต้องมีมาตรการฉุกเฉินเพื่อป้องกันสถานการณ์ในกรณีเลวร้ายในอนาคต
กลับมาที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเรา ประเมินว่าแม้ Valuation ตลาดหุ้นไทยขณะนี้ หลังจากที่ปรับตัวลงมาถึง -12% ตั้งแต่ต้นปี 2563 (คำนวณจากราคาปิดของดัชนีวันที่ 5 มี.ค.) อยู่ในระดับที่ไม่แพง โดย Earnings yield gap (ส่วนต่างของ Earnings yield หรือส่วนกลับของ Forward PE เทียบกับอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว 5-10 ปี) อยู่ในระดับที่สูงมากกว่า 5.5%
ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติแล้ว Valuation ระดับนี้เป็นจุดที่น่าสนใจเข้าลงทุนในตลาดหุ้น แต่เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนี้ที่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่า ผลกระทบที่แท้จริงต่อเศรษฐกิจจะเป็นเท่าไหร่ เนื่องจากยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสจะเริ่มสามารถควบคุมได้เมื่อไหร่ ทำให้มีโอกาสที่นักวิเคราะห์จะทำการปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยลงอีก ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจึงยังมีความผันผวนต่อไปจนกว่าสถานการณ์ต่างๆ จะเริ่มนิ่ง
ดังนั้นสำหรับกลยุทธ์การลงทุนในขณะนี้ นักลงทุนอาจจะต้องเน้นไปที่หุ้นพื้นฐานดี ที่ผลการดำเนินงานจะกลับมาฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลังของปี 2563 และหุ้น Defensive ที่มีปันผลสูงเป็นหลัก