นักลงทุนแห่ถอน ‘กองบอนด์’ ผวาขาดทุน-เตือนอย่าแพนิก
วงการ บลจ. เตือนผู้ถือหน่วยลงทุนอย่า “แพนิก” หลังพบนักลงทุนแห่ไถ่ถอนกองตราสารหนี้ ผลจาก “เอ็นเอวี” ร่วงย้ำตราสารส่วนใหญ่มีคุณภาพ ไร้กังวลปัญหาผิดนัด เผย บลจ.ทหารไทย โดนไปกว่า 5 หมื่นล้าน ต้องสั่งปรับช่วงเวลาชำระคืนหน่วยลงทุน
ความกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19” ทำให้นักลงทุนพากันเทขายสินทรัพย์การลงทุนออกมาทุกประเภท ไม่เว้นแม้แต่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น “ตราสารหนี้” ส่งผลให้ราคาพันธบัตร(บอนด์) ทั่วโลกปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยที่ได้รับ จึงทำให้ผลตอบแทนจากพันธบัตร(บอนด์ยิลด์) พุ่งสูงขึ้น กระทบต่อมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุน( NAV) ของกองทุนต่างๆ ที่ปรับลดลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม NAV ของกองทุนต่างๆ ที่ปรับลดลง ทำให้นักลงทุนบางกลุ่ม โดยเฉพาะ นิติบุคคล เกิดความกังวลว่าจะขาดทุนจากการลงทุน ทำให้พากันมาไถ่ถอนหน่วยลงทุนจำนวนมาก โดยมีรายงานข่าวว่า กองทุนเปิดทหารไทย ธนเพิ่มพูน และ กองทุนเปิดทหารไทย ธนไพบูลย์ ซึ่งถือเป็นกองมันนี่มาร์เก็ตขนาดใหญ่ มียอดไถ่ถอนหน่วยลงทุนในช่วงที่ผ่านมารวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท จากมูลค่าสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การบริหาร(เอยูเอ็ม) ที่มีรวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท
**บลจ.ทหารไทยปรับช่วงเวลาขายคืน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2563 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทหารไทย ได้ออกประกาศแจ้งผู้ถือหน่วยในกองทุนรวมทั้ง 2 กองทุน ระบุถึงการชำระเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนให้สามารถทำได้ภายใน 5 วันทำการนับจาก การซื้อขายหน่วยลงทุน โดยกองทุนเปิดทหารไทย ธนเพิ่มพูน จะชำระเงินภายใน 3 วันทำการ จากเดิม 1 วันทำการ และ กองทุนเปิดทหารไทย ธนไพบูลย์ จะชำระเงินคืนภายใน 4 วันทำการ จากเดิม 2 วันทำการ โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะมีผลสำหรับรายการที่มีผลตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค. 2563 เป็นตันไป จนกว่าสถานการณ์ข้าสู่ภาวะปกติถึงจะเปลี่ยนแปลงเป็นแบบเดิม
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า เรื่องเปลี่ยนแปลงวันชำระงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมจำนวน 2 กองทุน เป็นการดำเนินการเพื่อประสิทธิภาพในการซื้อขายตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ (Investment Grade Bonds) ในพอร์ตลงทุนโดยไม่กระทบราคาอย่างมาก และเพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับประโยชน์สูงสุดทางด้านราคาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุน
**มั่นใจถือตราสารคุณภาพดี
อีกทั้งบริษัทขอให้ความมั่นใจว่า ตราสารหนี้ที่มีอยู่ในพอร์ตลงทุนทั้งหมดของทั้ง2 กองทุนเป็นตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสูง ในระดับสามารถลงทุนได้ระดับ BBB ขึ้นไป จึงไม่มีอุปสรรคในการซื้อขาย และยังมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนของทั้ง2กองทุน เชื่อมั่นว่า ยังเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ดีอยู่แล้ว ซึ่งมีการกระจายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ขณะนี้ยอดผู้ถือหน่วยลงทุนมาขอไถ่ถอนคืนหน่วยลงทุนของทั้ง 2 กองทุนของเรา ยังมีพอสมควรแต่ไม่ถึงครึ่งของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งหมด เพราะทั้ง 2 กองทุนมีการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศสัดส่วนมากพอสมควร เมื่อนักลงทุนเกิดความกังวลจากตลาดผันผวน จึงเห็นกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อขายเร็วที่เป็นสถาบันรายใหญ่อาจจะขอไถ่ถอนออกมาก่อน
แต่คาดว่าแนวโน้มการไถ่ถอนคืนหลังจากนี้ในลักษณะนี้ จะเริ่มชะลอตัวลงได้ หลังจากมีวิธีการบริหารจัดการดังกล่าว ทำให้ไม่ต้องเร่งขายคืนในภาวะที่สภาพคล่องในตลาดเปลี่ยนแปลงไป และไม่เป็นการซ้ำเติมตลาดที่ไม่มีสภาพคล่อง ซึ่งเราพยายามทำให้ผู้ถือหน่วยสิ่งที่ดีขึ้นในสภาพความผิดปกติในขณะนี้
“กองทุนลงทุนของเราลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสูง ไม่ต่องห่วงความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้แต่อย่างใด ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ผู้ลงทุนควรจะมี คือ การมองการลงทุนในระยะกลางหรือยาว อย่าเพิ่งมองความผันผวนระหว่างทาง ทั้งนี้กองทุนตราสารหนี้ในตลาดแต่ละกองมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน และเมื่อมีการขยับเวลาการไถ่ถอนคืน ทำให้นักลงทุนไม่ต้องไล่ขายออกเพื่อสภาพคล่องโดยไม่จำเป็น และน่าจะเป็นประโยชน์ให้กับนักลงทุนในระยะยาวที่ยังคงสร้างผลตอบแทนที่ดี”
**เน้นสื่อสารผู้ถือหน่วยเตือนอย่าแพนิก
นางสาวศุภรัตน์ อารีย์วงศ์ ผู้บริหารกลุ่มกลยุทธ์การตลาดและผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า บริษัทอาจมีผลกระทบจากการตื่นตระหนกดังกล่าวบ้าง แต่ไม่ได้มากนัก ซึ่งได้พยายามสื่อสารกับผู้ถือหน่วยลงทุนให้เกิดความเข้าใจว่า ตราสารหนี้ที่กองทุนเข้าไปลงทุน ส่วนใหญ่เป็นตราสารคุณภาพดี อีกทั้งกองทุนของบริษัทรักษาสภาพคล่องไว้สูง ส่วนใหญ่ลงทุนในลักษณะของเงินฝาก และพันธบัตรรัฐบาล เกือบ 40% ที่เหลือมีหุ้นกู้เอกชนในประเทศระดับสามารถลงทุนได้ (Investment Grade ) และมีการลงทุนในต่างประเทศสัดส่วน 20% ส่วนใหญ่อยู่ในเงินฝาก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการขาดทุนจากมาร์คทูมาร์เก็ต
นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล กล่าวว่า กองทุนตราสารหนี้ของเราส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ต้องลงทุนในระยะยาว ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ซึ่งเราได้มีการสื่อสารไปยังผู้ถือหน่วยอย่าเพิ่งตื่นตระหนก เชื่อว่าในระยะเวลาอันสั้นตลาดจะคลายกังวลจากสถารการณ์ที่ผิดปกติได้ อีกทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ก็เข้ามาดูแลสภาพคล่อง ในตลาดอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ การลงทุนของกองทุนตราสารหนี้ส่วนใหญ่ปัจจุบันลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพระดับสามารถลงทุนได้อยู่แล้วส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาล เงินต้นไม่ได้หายไปไหนแน่นอน ฉะนั้นในภาวะที่ตลาดผันผวนเช่นนี้ ผู้ลงทุนต้องตั้งหลักให้ดีไม่ตื่นตระหนกรีบไถ่ถอนหน่วยลงทุนอาจทำให้เสียโอกาสในการลงทุนได้
**แห่เทขายกดดันบอนด์ยิลด์พุ่ง
แหล่งข่าววงการตลาดเงิน กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิในตลาดบอนด์ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะกังวลกับการอ่อนค่าของเงินบาท ทำให้ต้องรีบขายสินทรัพย์การลงทุนต่างๆ ในประเทศเพื่อป้องกันการขาดทุนจากค่าเงิน ทำให้ราคาพันธบัตรปรับลดลง บอนด์ยิลด์พุ่งสูงขึ้น อีกทั้งนักลงทุนสถาบันในประเทศ ก็ไม่กล้าเข้าไปซื้อเพราะกลัวขาดทุนจึงทำให้สภาพคล่องในตลาดบอนด์เกิดปัญหาขึ้น ส่งผลให้ ธปท. ต้องเข้ามารับซื้อไว้เอง
“จะเห็นว่าเวลานี้บอนด์ยิลด์หลายๆ รุ่น พุ่งขึ้นมาเร็วมาก โดยเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ซึ่งถ้าดูช่วงต้นเดือนมี.ค. ช่วงนั้นยังแกว่งตัวอยู่ระดับ 1% และลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 0.8% แต่หลังจากนั้นก็มีแรงเทขายต่อเนื่อง ทำให้บอนด์ยิลด์พุ่งขึ้นมาแกว่งตัวในระดับ 1.6-1.8% ขึ้นมาเกือบๆ 1% ภายในเวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์”