‘ตรวจสอบเช็คสถานะเงินเยียวยา’ ห้าพัน ‘คลัง’ จ่ายครบ 16 ล้านคนใน มิ.ย.นี้!
“คลัง” ยืนยัน จ่ายเงิน เราไม่ทิ้งกัน ครบ 16 ล้านคน ในเดือนมิถุนายน จากผู้ลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ 28.8 ล้านคน “ตรวจสอบเช็คสถานะเงินเยียวยา” ได้เลย
มาตรการรับเงินเยียวยา 5,000 บาท เราไม่ทิ้งกัน จากกระทรวงการคลัง ผ่านการลงทะเบียน www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยความเคลื่อนไหวล่าสุด ของการตรวจสอบเช็คสถานะเงินเยียวยา นอกจากการทยอยจ่ายเงินเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ โดยในวันนี้ (วันที่ 7 พฤษภาคม 2563) ระบบได้ทำการโอนเงินอีก 1 ล้านคน
ขณะเดียวกัน ความคืบหน้าของการคัดกรองในระบบ นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เผยว่า สำหรับยอดผู้ลงทะเบียนรับสิทธิ 28.8 ล้านคน นั้น ขณะนี้ สามารถจำแนกกลุ่มผู้ลงทะเบียนว่าได้รับสิทธิ และไม่ได้รับสิทธิเรียบร้อยแล้ว โดยใช้เวลาในการคัดกรองราว 1 เดือนครึ่ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
เขาชี้แจงถึงความรู้สึกของผู้รอรับเงินเยียวยา อาจจะมองว่า รัฐบาลทำงานล่าช้า แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า การตรวจสอบเช็คสถานะเงินเยียวยา ในครั้งนี้ เป็นการตรวจสอบจากฐานข้อมูลที่มีกว่า 28 ล้านคน และเป็นฐานข้อมูลที่คลังเองไม่เคยมีการเก็บข้อมูลมาก่อน และการนำเอาปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรองข้อมูลที่เชื่อมโยงกับ กรมการปกครอง, ธนาคารพาณิชย์, กรมที่จัดเก็บภาษี รวมถึงหน่วยอื่นๆ จนนำไปสู่การคัดกรองผู้ที่ได้รับสิทธิภายในระยะเวลาดังกล่าวถือว่ามีประสิทธิภาพมากแล้ว
โดยจำนวนผู้ที่เขาข่ายได้รับเงินเยียวยาในขณะนี้มีอยู่ราว 16 ล้านคน ผ่านการพิจารณาและตรวจสอบแล้ว 12.8 ล้านราย ซึ่งกระทรวงการคลังได้ทำการโอนเงินเยียวยาให้แก่ผู้ลงทะเบียนที่ได้รับสิทธิดังกล่าวไปแล้ว 9.8 ล้านคน รวมเป็นเงินกว่า 4.9 หมื่นล้านบาท ขณะที่ ผู้ได้รับสิทธิรับเงินเยียวยาที่เหลืออีก 3 ล้านคน จะเร่งทยอยโอนเงินให้เรียบร้อยภายในสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตาม นอกจากความคืบหน้าของการตรวจสอบเช็คสถานะเงินเยียวยาจากโครงการเราไม่ทิ้งกัน ที่กระทรวงการคลังได้ดำเนินการในขณะนี้นั้น ข้อมูลการลงทะเบียนเหล่านี้ยังถือเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ โดย
จำนวนกลุ่มแรงงาน ที่มีงานทำทั่วประเทศ 38 ล้านราย เบื้องต้นจากการคัดกรองระยะที่ 2 สามารถจำแนกได้เป็น
- เกษตรกร 17 ล้านราย
- กลุ่มประกอบอาชีพอิสระอีกจำนวน 14 ล้านราย
เมื่อรวมกับฐานข้อมูลเดิมที่รัฐบาลมีอยู่ อาทิ ผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, ภาษีเงินได้นิติบุคคลจากบริษัทห้างร้าน, บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือข้อมูลผู้สูงอายุ จะทำให้รัฐบาลสามารถหยิบข้อมูลเหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับมาตรการต่างๆ ได้ต่อไปในอนาคต