ส่องกองทุน 'หุ้นยั่งยืน-เทคโนฯ' 'วิกฤติโควิด' เร่งสปีดเติบโต 

ส่องกองทุน 'หุ้นยั่งยืน-เทคโนฯ' 'วิกฤติโควิด' เร่งสปีดเติบโต 

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ราคาหุ้นทั่วโลก ปรับลงตั้งแต่ปลายเดือนก.พ. และ ติดลบกว่า 15-20% นับตั้งแต่ต้นปี แต่ยังมีกองทุนหุ้นโลกบางกอง สามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกนับตั้งแต่ต้นปี

ตัวอย่างของกองทุนกลุ่มนี้ คือ กองทุนเน้นลงทุนในบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มความยั่งยืน

ด้วยกระแสโลกซึ่งกำลังขับเคลื่อนด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในหลายมิติ เช่น Internet of Things และ Digital Disruption ไปจนถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ ในขณะที่ประชาชนเริ่มตื่นตัวกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การลดการใช้พลาสติกในชีวิตประจำวัน และการสนับสนุนพลังงานสะอาด กระแสการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เริ่มขยายตัวในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แม้ตลาดหุ้นโลกได้ปรับลดลง แต่กองทุนในกลุ่มนี้ยังคงสร้างผลตอบแทนได้ดี เนื่องจากไม่ได้ลงทุนในธุรกิจดั้งเดิมที่อ่อนไหวกับเศรษฐกิจโดยรวม

กองทุนที่ KBank Private Banking แนะนำ คือ ONE-UGG-RA (One Ultimate Global Growth) และ K-CHANGE  (K Positive Change) โดยทั้งสองกองเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีโอกาสเติบโตสูง (Growth stocks) และจะลงทุนในจำนวนบริษัทประมาณ 30-40 บริษัทเท่านั้น และหลักทรัพย์ที่ลงทุนต้องสามารถเติบโตในแง่ของรายได้อย่างน้อย 1 เท่าตัว ภายใน 5 ปี

ทั้งสองกองทุนได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 เพียงเล็กน้อย บางกรณีถือเป็นประโยชน์ด้วยซ้ำ เนื่องจากการแพร่ระบาดได้เร่งการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีให้เกิดเร็วขึ้น สนับสนุนการเติบโตของบริษัทที่กองทุนลงทุนอยู่อย่างมีนัยสำคัญ

หุ้นเทคโนโลยี ผู้อยู่รอดจากพิษโควิด-19

กองทุน ONE-UGG-RA ลงทุนในกองทุนหลัก Long term global growth โดยคัดเลือกบริษัทจากศักยภาพการเติบโตสูงเป็นหลัก ปัจจุบันจึงเน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี การเว้นระยะห่างทางสังคมในช่วงนี้ได้สนับสนุนให้ความต้องการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้ทำงานจากบ้านได้สะดวกขึ้น โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์ เช่น Google , Amazon, Teladoc  ซึ่งทำธุรกิจด้านการพบแพทย์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต และ Delivery Hero ซึ่งทำบริการจัดส่งอาหาร เป็นต้น ส่งผลให้กองทุนมีผลตอบแทน (NAV) นับจากต้นปีจนถึง11พ.ค. 2563 อยู่ที่ +20.76%

 หุ้นกลุ่มยั่งยืนสร้างผลตอบแทนน่าพอใจ

กองทุน K-CHANGE ลงทุนในกองทุนหลัก Positive Change และไม่ได้คัดเลือกแค่เพียงหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตสูงเท่านั้น แต่มีเกณฑ์คัดกรองเพิ่มเติม คือ ธุรกิจยังต้องสร้างความยั่งยืน และเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดีขึ้น โดยมี 4 ธีมหลัก ได้แก่ สังคมและการศึกษา, สิ่งแวดล้อมและทรัพยากร, การแพทย์, และการยกระดับคุณภาพชีวิต ที่สำคัญคือ ผลกระทบเชิงบวกเหล่านี้ต้องสามารถจับต้องและวัดเป็นตัวเลขได้ เช่น การลงทุนในกองทุนนี้ ทุก ๆ 1 ล้านบาท สามารถช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 19 ตัน เป็นต้น

K-CHANGE เป็นอีกหนึ่งกองทุนที่ยังคงผลตอบแทนเป็นบวก โดย NAV นับจากต้นปีถึง 11 พ.ค. 2563 อยู่ที่ +15.35%  โดยมีปัจจัยหลักคือการเติบโตของหุ้นกลุ่มธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ตัวอย่างเช่น Moderna บริษัทด้านการวิจัยและพัฒนายา ได้ยื่นขอทดลองวัคซีนโควิด-19 และเริ่มทดลองในคนไปแล้ว นอกจากนี้ บริษัทอย่าง Illumina  ซึ่งทำเรื่องการถอดรหัสพันธุกรรม หรือ Sysmex  ซึ่งผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ ก็ได้รับประโยชน์จากวิกฤติครั้งนี้เช่นกัน

KBank Private Banking มองว่า วิกฤติโควิด-19 ได้ตอกย้ำความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีและการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัทเหล่านี้ และทั้งสองกองทุนมีศักยภาพอย่างมากในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว นักลงทุนควรลงทุนในกองทุนทั้งสองกองนี้ในระยะยาวมากกว่า 3 ปีขึ้นไป และสามารถรับความผันผวนที่สูงได้ในบางช่วง จากการกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี