อัดพ.ร.บ.โอนงบ 'มัดมือชก' นายกฯยันเครื่องมือสู้โควิด
"พล.อ.ประยุทธ์" แจงสภาฯ ยัน พ.ร.บ.โอนงบ เครื่องมือสำคัญสู้โควิด-มีขั้นตอนเบิกจ่ายชัดเจน ให้อำนาจครม-พื้นที่ชี้ขาด ด้าน “เพื่อไทย” ชำแหละปมเสี่ยง ชี้โอนเข้างบกลางส่อผิดกฎหมาย หวั่นมัดมือชก-ตีเช็คเปล่า ขณะที่ “ชวน” ย้ำข้อกฎหมายไม่โอนเงินส.ส.-ส.ว.
ในการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ....วงเงิน 88,452 ล้านบาทซึ่งคณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ วานนี้ (5มิ.ย.) ที่ประชุมมีมติ 264 คะแนน ต่อ4 เสียง รับหลักการในวาระแรกพร้อมตั้งกมธ.วิสามัญ จำนวน 49 คน กำหนดการแปรญัตติภายใน 3วัน ก่อนที่กมธ.จะพิจารณาและเสนอต่อสภาเพื่อลงมติในวาระ2-3 ในวันที่11มิงย.
โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวยืนยันว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการแก้ปัญหาและบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งเป็นภัยพิบัติร้ายแรงส่งผลต่อประชาชนและเศรษฐกิจ ที่ผ่านมารัฐบาลใช้จ่ายงบกลาง รายการสำรองจ่าย เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ส่งผลให้เงินที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอ จึงมีความจำเป็นต้องโอนงบไปตั้งไว้เป็นงบกลาง
ทั้งนี้หน่วยรับงบประมาณจะสามารถขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น เพื่อนำไปดำเนินการในโครงการหรือแผนงานที่สำคัญสอดคล้องกับภารกิจใน 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1.การแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 2.การป้องกันและเยียวยา ภัยพิบัติ ภัยแล้ง อุทกภัย ที่อาจเกิดขึ้นในปลายปี 63 และ3.แก้ไขปัญหาที่มีเหตุฉุกเฉินหรือที่จำเป็น
“ผมหวังว่าส.ส.จะให้การสนับสนุนและรับหลักการร่างกฎหมายนี้ เพื่อนำงบประมาณแผ่นดินไปดำเนินการในเหตุการณ์เร่งด่วนอย่างคุ้มค่า โปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ยันให้สิทธิขาดท้องถิ่นพิจารณา
จากนั้นนายกฯได้ลุกขึ้นชี้แจงต่อที่ประชุมอีกครั้งว่า ปัจจุบันรัฐบาลเหลืองบกลางในปีงบประมาณ 2563 เพียง 453.29 ล้านบาท จากงบทั้งหมด 9.6 หมื่นล้านบาท พร้อมยืนยันว่า การใช้จ่ายงบกลางนั้นมีขั้นตอน ไม่ใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ซึ่งหน่วยงานที่จะขอใช้เงินนั้นสามารถเสนอโครงการมายังครม. โดยกระบวนการนั้นต้องฟังความต้องการของประชาชน และเสนอผ่านองค์การบริหารส่วนจังหวัด ดังนั้นขออย่าให้ใครไปก้าวล่วง หรือบังคับ
ทั้งนี้รายการที่ขอโอนงบ คือ ส่วนของรายการที่ทำสัญญาไม่ได้ หรือทำไม่ครบถ้วน และต้องทำตามกรอบของคณะกรรมการนโยบายการเงิน อย่างไรก็ดีการปรับงบของกระทรวงกลาโหม เป็นไปตามเกณฑ์ที่สามารถชะลอโครงการได้ แต่โครงการใดที่ทำสัญญาผูกพันแล้ว หรืออยู่ภายใต้กรอบข้อตกลงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ไม่สามารถโอนได้ ทั้งนี้ขอให้เห็นใจทหารด้วย
โอนงบเข้างบกลางเสี่ยงผิดก.ม.
ส่วนบรรยากาศการอภิปรายสมาชิกบางส่วนตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและมาตรการตรวจสอบการใช้งบประมาณ อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้ได้รับมอบจากผู้นำฝ่ายค้านให้เป็นผู้อภิปรายนำ กล่าวว่า จากการพิจารณาขอเรียนว่าไม่สามารถรับหลักการได้ด้วยเหตุผล 2 ประการ
1.หลักการขัดกับหลักประชาธิปไตยและกฎหมายอื่น ซึ่งตามหลักการนำงบประมาณไปใช้ต้องคำนึงถึงหลักความยินยอมของประชาชน แม้กฎหมายจะอนุโลมให้โอนงบแต่การโอนงบต้องเป็นโอนกันระหว่างหน่วยรับงบประมาณด้วยเท่านั้น ซึ่งการโอนงบประมาณเข้างบกลางนั้นจะมีปัญหาเรื่องความชอบด้วยกฎหมายทันที
อัดนายกฯมัดมือชก-ตีเช็คเปล่า
2.รายการโอนงบครั้งนี้เรียกว่าจอมโอนแห่งยุคเพราะพล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำการโอนงบประมาณมาแล้ว 4 ครั้งตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ การทำร่างกฎหมายเช่นนี้เหมือนกับการเป็นหมัดมือสภาและตีเช็คเปล่า
หากสภาอนุมัติให้ผ่านไป เราจะเป็นสภาจากการเลือกตั้งชุดแรกที่มีรอยด่างว่าถูกมัดมือชกและเห็นชอบกฎหมายที่ไม่ควรเห็นชอบ ดังนั้น เพื่อศักดิ์ศรีของสภาเราโปรดอย่าได้รับหลักการ แต่หากจะรับหลักการก็ต้องรับหลักการแบบมีเงื่อนไข โดยหากการพิจารณาวาระ2และ3ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการใช้งบประมาณอีก ฝ่ายค้านในฐานะเสียงข้างน้อยจะโหวตคว่ำเพื่อบันทึกเอาไว้
“ชลน่าน-สาธิต”โต้เดือดจัดงบรพ.
จากนั้นนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ชี้แจงต่อประเด็นการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขว่า ได้กันงบประมาณ จำนวน 1 หมื่นล้านบาทเพื่อดำเนินการและมีงบประมาณเพื่อใช้จ่ายทางการแพทย์ จำนวน 5,000 ล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องจัดสรรเพื่อให้เป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโรงพยาบาลทุกระดับ และส่งเสริมห้องตรวจหาเชื้อ โรคติดเชื้อรวมถึงโควิด-19 รวมถึงเป็นค่าตอบแทนต่างๆ ด้วย
จากนั้นนพ.ชลน่าน ได้ลุกขึ้นอภิปรายอีกครั้งในฐานะผู้ใช้สิทธิอภิปรายว่า กรอบที่กำหนดให้ โรงพยาบาลทุกระดับนั้น เมื่อวันที่ 29 พ.ค.นั้น บอกว่าจะจัดสรรให้กลุ่มละ 7,000 ล้านบาท แต่ล่าสุดแจ้งว่าจะได้เพียง 2,500ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นของให้รัฐมนตรีตามดู เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา และเป็นการหลอกลวง ที่ระบุว่าเพื่อไปกู้เงิน แต่การจัดสรรจริงไม่ได้เป็นไปตามที่ระบุไว้
ทำให้นายสาธิต ชี้แจงยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้หลอกใคร และอ้างบุคคลใด ยืนยันจัดสรรทุกภาคส่วนที่มีส่วน หลักการกู้ต้องใช้ประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่ากับอนาคต
“ก้าวไกล” โวยสภา-ศาลไม่โอนงบ
ด้านนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลอภิปรายท้วงติงต่อกรณีที่ สภาผู้แทนราษฎร, วุฒิสภา รวมถึงองค์กรศาล ที่ไม่ถูกพิจารณาให้เป็นหน่วยงานโอนงบและไม่เห็นความพยายามของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่จะโอนงบประมาณทั้งที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการะบุว่ามีช่องทางที่ทำได้ รวมทั้งฝากไปยังนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ต่อการส่งค่าตอบแทนของผู้ช่วย ส.ว. คืนจากเดิมที่ส่งคืนแล้ว 2 คนใน 10 คนที่ได้ตำแหน่ง
ทำให้นายชวน ได้ชี้แจงว่า ตนเป็นผู้ที่ดูรายการโอนงบประมาณให้รัฐบาล จำนวน ร้อยละ 10 ด้วยตนเอง และได้ส่งให้แต่รัฐบาลส่งคืนมาให้ทั้งหมด เพราะกฤษฎีกาเห็นว่าทำไม่ได้ ทั้งนี้การอภิปรายนั้นอย่าก้าวก่ายสถาบันอื่น ทั้งนี้เงินที่ได้รับคืน หากสภาฯ ใช้ไม่หมดสามารถส่งคืนได้หลังจากหมดปีงบประมาณแล้ว
ก่อนที่นางอมรัตน์ จะอภิปรายต่อในส่วนของศาลที่ไม่ถูกโอนงบประมาณเช่นกัน ทำให้นายชวน กล่าวตักเตือนขอีกครั้งว่า อย่าใช้สภา เป็นเครื่องมือเพื่อพาดพิงไปยังสถาบันอื่น
นักการเมืองล้วงลูกสร้างทาง
ขณะที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายประเด็นการตรวจสอบทุจริตในพื้นที่ จ.มหาสารคาม ในโครงการก่อสร้างยกระดับมาตรฐานและเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง 4 โครงการ งบกว่า 200 ล้านบาท โดยบริษัทที่ได้รับงาน ที่ยื่นซองประมูลค่ำกว่าราคากลาง จำนวน 15,000 บาท และยังกำหนดสเปคที่ทำให้ผู้รับเหมารายอื่นไม่สามารถเข้าแข่งขันได้ เรื่องนี้ได้ยื่นเรื่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามตรวจสอบแล้ว ทั้งนี้ตนเชื่อว่ามีบิ๊กการเมืองในกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคม เป็นผู้สั่งการเบื้องหลัง
ทำให้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ชี้แจงว่า โครงการดังกล่าวเป็นงบจากกลุ่มจังหวัด โดยผู้ว่าฯมหาสารคามได้มอบให้อำนาจให้กรมทางหลวงดำเนินการ และส่งต่อให้ไปแขวงการทางเป็นผู้ดำเนินการ และมีบริษัทแห่งหนึ่งสามารถประมูลได้งานตามที่นายยุทธพงศ์กล่าว ซึ่งขณะนี้ได้มีเรื่องร้องเรียนให้ผู้ว่าฯยกเลิกสัญญา แต่ไม่สามารถดำเนินการ ทำให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยจึงได้ให้ฝ่ายตรวจสอบไปดำเนินการแล้ว หากผลออกมาอย่างไร จะแจ้งให้ทราบต่อไป