ผ่าสูตรสำเร็จ ‘ลิเวอร์พูล’ สร้างทีมยังไงให้ได้แชมป์
ในขณะที่ “ลิเวอร์พูล” กำลังฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีของสโมสร แต่กว่าจะประสบความสำเร็จอย่างวันนี้ ทัพหงส์แดงใช้วิธีสร้างทีมและลงทุนในตลาดนักเตะอย่างไรถึงได้ผลลัพธ์เกินคุ้ม และไม่ต้องทุ่มเงินมหาศาลเหมือนทีมคู่แข่ง
นับตั้งแต่ “เจอร์เกน คลอปป์” กุนซือชาวเยอรมันรับงานคุมทีมลิเวอร์พูลเมื่อปี 2015 “เครื่องจักรสีแดง” ในยุคของคลอปป์ก็ก้าวกระโดดจากทีมขาประจำลุ้นท็อปโฟร์ (Top 4) ของพรีเมียร์ลีก สู่ตำแหน่ง “เจ้ายุโรป” หลังคว้าแชมป์ถ้วย “UEFA Chapions League” ในฤดูกาลที่แล้ว และแชมป์ศึกพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2019/20 ด้วยฟอร์มร้อนแรงอันสม่ำเสมอช่วง 2-3 ปีหลัง
เบื้องหลังความสำเร็จในสนามของหงส์แดงเกิดขึ้นได้จากการอดทนสร้างทีมทั้งซื้อนักเตะใหม่และถ่ายเลือดเก่าในช่วง 4-5 ปีหลังสุด
ในรายชื่อนักเตะ 18 คนของทีมลิเวอร์พูลชุดที่กุนซือสายเฮฟวีเมทัลใช้ในนัดแรกที่เขาคุมทัพเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้ว เหลือแค่เพียง “เจมส์ มิลเนอร์” “อดัม ลัลลานา” และ “ดิว็อก โอริกี” ที่ยังอยู่กับทีมถึงฤดูกาลนี้ ในฐานะกำลังเสริม
- กุนซือผู้มีคาแรกเตอร์ดุดันและกระตุ้นลูกทีมตลอดทั้งเกม -
และการสร้างทีมลิเวอร์พูลชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกนี้ ต้องผ่านกระบวนการซื้อขายนักเตะที่ต่อเนื่อง และอุดจุดด้อยแต่ละตำแหน่งตามแผนทำทีมระยะยาวที่คลอปป์วางไว้
- เริ่มผ่าตัดทีม
ปี 2016 ช่วงตลาดนักเตะซัมเมอร์แรกของคลอปป์ในฐานะกุนซือหงส์แดง การคว้าตัว “ซาดิโอ มาเน” แนวรุกทีมชาติเซเนกัล และ “จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม” มิดฟิลด์ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ช่วยให้ทีมกลับสู่เวที Champions League อีกครั้ง
ปีต่อมา ลิเวอร์พูลเสริมทีมต่อเนื่องด้วยการเซ็นสัญญา “โมฮัมเหม็ด ซาลาห์” ปีกทีมชาติอียิปต์ “แอนดี โรเบิร์ตสัน” แบ็คซ้ายชาวสกอตแลนด์ และ “อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน” กองกลางชาวอังกฤษ มาร่วมทีม
จนกระทั่งตลาดนักเตะหน้าหนาวเดือน ม.ค. 2018 “เวอร์จิล ฟาน ไดค์” ปราการหลังชาวดัตช์ที่คลอปป์เล็งมานาน ก็ย้ายจากเซาท์แธมป์ตันมาร่วมทัพหงส์แดงด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ และกลายเป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกขณะนั้น
ขณะเดียวกัน ด้วยฟอร์มถล่มประตูของซาลาห์ เกมรับที่เหนียวแน่นขึ้นจากการมาของฟาน ไดค์ การพัฒนาฟอร์มการเล่นของโรเบิร์ตสัน และการแจ้งเกิดของแบ็คขวาลูกหม้อสโมสรอย่าง “เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์” ส่งให้ลิเวอร์พูลทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ Champions League ในเดือน พ.ค. 2018
ทว่าความผิดพลาด 2 ครั้งของ “ลอริส คาริอุส” ผู้รักษาประตูชาวเยอรมันที่นำไปสู่การเสีย 2 ประตูในนัดชิงเจ้ายุโรปกับ “เรอัล มาดริด” ยักษ์ใหญ่จากสเปนทำให้หงส์แดงต้องอกหักจากแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ในปีนั้น แต่สิ่งที่เห็นชัดหลังจากนั้นคือความปรารถนาอันแรงกล้าของสโมสรที่ต้องการกลับมาคว้าแชมป์รายการใหญ่ให้ได้อีกครั้ง
- อลิสซอน เบ็คเกอร์ (ซ้าย) และ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ (ขวา) 2 คีย์แมนในเกมรับของหงส์แดง -
ตั้งแต่นัดนั้นเป็นต้นมา คาริอุสก็ไม่ได้ลงเฝ้าเสาให้ลิเวอร์พูลอีกเลยก่อนถูกปล่อยยืมให้เบซิคตัส ทีมดังแห่งลีกตุรกีในฤดูกาลล่าสุด และในตลาดซัมเมอร์ปี 2018 คลอปป์ตัดสินใจอุดช่องโหว่ในตำแหน่งนายทวารด้วยการซื้อ “อลิสซอน เบ็คเกอร์” จอมหนึบชาวบราซิลจากทีมโรมาในอิตาลี ด้วยค่าตัว 67 ล้านปอนด์ ทำสถิติโกล์ค่าตัวแพงที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบัน
เท่านั้นไม่พอ ทีมดังแห่งอังกฤษยังเดินหน้าเสริมทัพเซ็นนักเตะอีก 3 คน ได้แก่ “นาบี เกอิตา” “ฟาบินโญ” และ “เชอร์ดาน ชากิรี” ในช่วงตลาดเดียวกัน ด้วยค่าตัวรวมกันกว่า 160 ล้านปอนด์
- ความกระหายชัยชนะ
ในช่วง 2 ปีหลัง ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมทีมของคลอปป์เก็บชัยชนะเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีก เห็นได้ชัดจากการลุ้นแชมป์ฤดูกาลที่แล้ว (2018/19) ซึ่งเป็นการขับเคี่ยวระหว่างลิเวอร์พูล กับ “แมนเชสเตอร์ ซิตี” ที่คุมทัพโดย “เปป กวาร์ดิโอลา” กุนซือสมองเพชรชาวสเปน
ถึงแม้ในซีซั่นนั้น ทัพหงส์แดงโชว์ฟอร์มหรูโดยเก็บได้ถึง 97 แต้ม แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะคว้าแชมป์มาครอง เพราะเรือใบสีฟ้าฟอร์มคงเส้นคงวาเช่นกันและปาดหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยคะแนนมากกว่าเพียง 1 แต้มเท่านั้น
แต่สิ่งที่ปลอบใจเหล่า The Kop ได้ในฤดูกาล 2018/19 คือ การผงาดเป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ได้สำเร็จ ด้วยการโค่น “ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส” ในนัดชิงชนะเลิศ Champions League
และที่สร้างความประหลาดใจไม่น้อยต่อแฟนบอลทั่วโลก คือ การโชว์ฟอร์มโหดไล่ถล่ม “บาร์เซโลนา” 4-0 ในรอบรองชนะเลิศนัดที่สองที่สนามแอนฟิลด์ แม้ขาดกำลังหลักอย่างซาลาห์ และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน ที่บาดเจ็บ หลังจากนัดแรกบุกไปแพ้ที่สนามคัมป์นู 3-0 ทำให้หงส์แดงแซงบาร์ซาเข้ารอบชิงด้วยสกอร์รวม 4-3 ไปอย่างสุดมัน
- ใช้เงินทุกปอนด์อย่างคุ้มค่า
การอัพเกรดทีมหลังพลาดท่าแพ้มาดริดในรอบชิง Champions League ปี 2018 ยังส่งผลดีมาถึงฤดูกาลนี้
ก่อนหน้านั้น มีปัจจัยเดียวที่อาจสกัดไม่ให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดซีซั่นนี้ได้คือการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ซึ่งมีผู้ติดเชื้อทั่วสหราชอาณาจักรกว่า 3 แสนคน (นับถึง 1 ก.ค.) และทำให้พรีเมียร์ลีกต้องพักแข่งไปนานกว่า 3 เดือนตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. และสุดท้ายก็กลับมาแข่งกันต่อแบบปิดสนามเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. จนกระทั่งทีมจ่าฝูงคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีได้สำเร็จ
แต่ความสำเร็จของทัพหงส์แดงในยุคเจอร์เกนคลอปป์ กลับไม่ใช่การทุ่มเงินซื้อนักเตะมากกว่าคู่แข่ง แต่เป็นการจัดการเรื่องซื้อขายผู้เล่นได้อย่างคุ้มค่าในช่วง 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา
Transfermarkt เว็บไซต์ข้อมูลตลาดนักเตะ ระบุว่า การใช้เงินสุทธิ (รายจ่ายจากการซื้อนักเตะ ลบรายรับจากการขายนักเตะ) ของลิเวอร์พูลในช่วง 5 ปีหลังอยู่ที่ประมาณ 109 ล้านปอนด์ ขาดทุนน้อยกว่าการใช้เงินของทีมเล็กอย่าง บอร์นมัธ, แอสตัน วิลลา และไบรท์ตัน ด้วยซ้ำ
- คลอปป์ และ กวาร์ดิโอลา ขณะสั่งการลูกทีมตัวเองข้างสนามในนัดที่ทั้งคู่ดวลกัน -
ส่วนคู่แข่งลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกปีนี้อย่างเรือใบสีฟ้าของกวาร์ดิโอลาใช้เงินสุทธิไปราว 601 ล้านปอนด์ในช่วง 5 ฤดูกาลถึงซีซั่น 2019/20 จะเห็นได้ชัดว่าตัวเลขใช้จ่ายเงินสุทธิของหงส์แดงน้อยกว่าเกือบ 500 ล้านปอนด์
- แรงหนุนจากทุกฝ่ายของสโมสร
ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับสกิลการจัดการทีมของคลอปป์ คือ แม้ลิเวอร์พูลขาย “ฟิลิปเป คูตินโญ” จอมปั้นเกมคนสำคัญให้กับบาร์เซโลนาด้วยค่าตัว 142 ล้านปอนด์ในเดือน ม.ค. 2018 แต่กลับไม่ทำให้คุณภาพของทีมแห่งแอนฟิลด์ถดถอยลงแต่อย่างใด
ขณะที่ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร ก็มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ตามที่คลอปป์ต้องการ และนำเงินที่ได้จากการขายผู้เล่นมาลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทีม
- ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส ผู้อำนวยการกีฬาของลิเวอร์พูล -
การขายผู้เล่นอย่าง “มามาดู ซาโก” “โดมินิก โซลันเก” “แดนนี อิงส์” “คริสเตียน เบนเตเก” “จอร์ดอน ไอบ์” และ “ซิมง มิโญเลต์” ช่วยเพิ่มงบช้อปนักเตะให้ลิเวอร์พูลถึง 120 ล้านปอนด์
ส่วนในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลเสริมทัพชุดใหญ่เพียง 1 คนเท่านั้น คือ “ทาคุมิ มินามิโนะ” แนวรุกทีมชาติญี่ปุ่นวัย 25 ปีที่ย้ายจากทีมซัลซ์บวร์กในออสเตรียด้วยค่าตัว 8 ล้านปอนด์ช่วงตลาดเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา และแข้งรายนี้ก็เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นในแผนระยะยาวของทีมที่จะไม่หยุดกอบโกยความสำเร็จเพียงเท่านี้
ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลได้ต่อสัญญาซาลาห์, มาเน, ฟีร์มิโน, โรเบิร์ตสัน, อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และจอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม เพื่ออยู่เป็นกำลังหลักในถิ่นแอนฟิลด์ต่อไป
“สำหรับใครก็ตามในโลกฟุตบอลที่ต้องการประสบความสำเร็จ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ทุกฟันเฟืองของสโมสรทำหน้าที่ตัวเองได้ดีที่สุด ตั้งแต่การสนับสนุนจากแฟนบอลไปจนถึงวิสัยทัศน์ของเจ้าของสโมสร ไม่มีที่ไหนดีไปกว่าที่นี่อีกแล้ว” คลอปป์กล่าวยกย่องทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในสโมสร
--------------------------
อ้างอิง: AFP, Givemesport, Transfermarkt