โควิด-19 กับโรคห่า
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้างไปทั่วโลก นับว่าเป็นโรคระบาดที่รุนแรง แต่เมื่อย้อนรอยประวัติศาสตร์โลกแล้ว พบว่าในอดีตเกิดโรคระบาดเช่นกัน แต่จะรุนแรงแค่ไหน ส่งผลกระทบมากน้อยเท่าใด? ติดตามอ่านได้ที่นี่
บางครั้งอดคิดไม่ได้ว่าโควิด-19 ที่ว่าเลวร้ายนั้นมีโรคระบาดครั้งอื่นๆ ในประวัติศาสตร์โลกที่เลวร้ายกว่านี้ไหม บังเอิญนิตยสาร Discover ที่บอกรับเป็นสมาชิกอยู่ของเดือน June 2020 มีข้อมูลในเรื่องนี้พอดี จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง
ณ ปลายเดือน ก.ค.2020 ทั้งโลกมีคนติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 16.7 ล้านคน และมีคนตาย 660,000 คน โรคระบาดครั้งที่ร้ายแรงที่สุดของโลกมีคนตายประมาณ 75-200 ล้านคนในค.ศ. 1347-1351 (ประมาณเกือบ 700 ปีก่อน) โรคที่ระบาดคือกาฬโรค มันฆ่าคนไป 30-50%ของประชากรยุโรป ต้องใช้เวลากว่า 200 ปี ที่ทวีปนี้จะกลับมามีประชากรเท่าเดิมการระบาดครั้งนี้รู้จักกันใน ชื่อของ Black Death
กาฬโรคหรือ Bubonic Plague เป็นโรคจากแบคทีเรีย ซึ่งมีที่มาจากหนูตลอดจนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดเล็ก โดยระบาดผ่านหมัดติดเชื้อบนตัวสัตว์เหล่านี้ อันดับ 2 ของความรุนแรงคือใน ค.ศ.1520 โรคฝีดาษระบาดหรือ smallpox ครั้งนั้น ฆ่าคนไปประมาณ 56 ล้านคน
เชื่อกันว่าโรคนี้รวมทั้งไข้หวัดใหญ่และโรคหัดฆ่า 90% ของอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาเหนือระหว่างหลายทศวรรษของ ค.ศ.1800 โรคฝีดาษฆ่าคนเฉลี่ยปีละ 400,000 คน จนถูกสยบลงด้วยการปลูกฝีดาษซึ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ.1796
ลำดับที่ 3 ระหว่างค.ศ. 1918-1919หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 การระบาดของSpanish Flu (ไข้หวัดใหญ่สเปน) ฆ่าคนไปไม่ต่ำกว่า 50 ล้านคนโดยมีคนติดเชื้อประมาณ 500 ล้านคนหรือ 1 ใน 3 ของประชากรโลกในตอนนั้น โดยมาเป็นคลื่นรวม 4 ครั้งด้วยกัน การระบาดครั้งนี้ปรากฏให้เห็นครั้งแรกในสหรัฐ ที่รัฐแคนซัส นิวยอร์ค เยอรมันนี อังกฤษ สงครามทำให้ไม่มีรายงานการระบาดของโรคในประเทศเหล่านี้ เมื่อโรคไปโผล่ที่สเปนและ King Alfonso XIII ทรงติดเชื้อจนเป็นข่าวขึ้นคนในโลกจึงคิดว่าระบาดหนักในสเปนจนเรียกขานกันว่า Spanish Flu
ลำดับที่ 4 ของความรุนแรงเกิดจากกาฬโรคระบาดระหว่าง ค.ศ.541-544 โดยมีชื่อว่าPlague of Justinian มีคนตาย 30-50 ล้านคน มีความเชื่อกันว่าการระบาดครั้งนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของการล่มสลายของอาณาจักรโรมัน ลำดับที่ 5 มีคนตาย 25-35 ล้านคน ตั้งแต่ค.ศ. 1981-ถึงปัจจุบันด้วย HIV/AIDS ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำลงมาก เดิมเป็นเรื่องน่ากลัวมากแต่ปัจจุบันกลุ่มยาสามารถช่วยควบคุมไวรัสไม่ให้ทำลายภูมิคุ้มกันได้
ลำดับที่ 6 ใน ค.ศ.1855 คนตาย 12 ล้านคน เรียกกันว่า The Third Plague ลำดับที่ 7 ตาย 5 ล้านคนระหว่าง ค.ศ.165-180 มีชื่อว่า Antonine Plague ลำดับที่ 8 ตาย 3 ล้านคน ใน ค.ศ.1600 มีชื่อว่า 17th-Century Great Plagues
หลังจากลำดับที่ 8 แล้วก็มีอันดับไล่ลงมาโดยมีคนตายประมาณ 1 ล้านคนของแต่ละการระบาดดังนี้ Asian Flu (ไข้หวัดใหญ่เอเชียน;ค.ศ.1957-1958) Russian Flu (ค.ศ.1889-1890) Hong Kong Flu (ค.ศ. 1968) การระบาดของอหิวาต์ที่เรียกว่าCholera 1-6 outbreaksระหว่างค.ศ. 1817-1923 และJapanese Smallpox Epidemic (ฝีดาษญี่ปุ่น; ค.ศ.735-737)
ลำดับถัดมาฆ่าคน 600,000 คน ดังมีชื่อเรียกว่า 18th-Century Great Plagues ในค.ศ.1700 ความรุนแรงถัดมาฆ่าคน 200,000 คน มีชื่อว่า Swine Flu ระหว่าง ค.ศ.2009-2010 อันดับถัดมาเป็นการระบาดของ Yellow Fever (ไข้เหลืองซึ่งเป็นโรคจากติดเชื้อไวรัสติดต่อรุนแรงผ่านยุง) ในทศวรรษท้ายๆ ของ ค.ศ.1800 มีคนตาย 100,000-150,000 คน
Ebola โรคน่ากลัวของอาฟริกาจากการติดเชื้อไวรัสที่มีอัตราการตายสูงมากระหว่าง ค.ศ.2014-2016 มีคนตาย 11,300 คน ตามมาด้วยโรค MERS (เชื้อไวรัสตระกูล corona ติดผ่านอูฐ) ใน ค.ศ.2012 ถึงปัจจุบันมีคนตาย 850 คน และสุดท้าย SARS (เชื้อไวรัสตระกูล corona ติดผ่านการหายใจ) มีคนตาย 770 คน
ถ้ามองย้อนไปดูตัวเลขก็จะพบว่า Plague หรือกาฬโรค เป็นศัตรูตัวร้ายที่สุดของมนุษยชาติตายกันเป็นเบือโอกาสรอดมีน้อยมากในยุคที่ไม่มียาปฏิชีวนะ (หลังจากรับเชื้อ 7 วัน ไข้จะขึ้นสูง ปวดหัวอาเจียนต่อมใต้รักแร้และขาหนีบจะบวมโต ร่างกายจะเป็นสีดำและเสียชีวิตในที่สุดด้วยอาการคล้ายนิวโมเนีย)
การระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติคือ Black Death หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Bubonic Plague ระหว่างค.ศ. 1347-1351 ทำให้ชาวโลกตายไปประมาณ 75-200 ล้านคน มีผลกระทบกว้างไกลไปทั่วโลก นักประวัติศาสตร์ไทยปัจจุบันเชื่อว่า Black Death ซึ่งเกิดขึ้นใกล้ช่วงเวลาเดียวกับ คำบอกเล่าที่พระเจ้าอู่ทองอพยพผู้คนพลไพร่หนีโรคห่ามาสร้างเมืองใหม่ คือ กรุงศรีอยุธยา
ความเชื่อแต่เดิมว่าโรคห่าคือโรคอหิวาต์นั้น น่าจะไม่ถูก โรคห่าน่าจะรวมไปถึงกาฬโรคและฝีดาษด้วย คนไทยเรียกไข้หรือโรคที่ทำให้คนตายจำนวนมากๆ ว่าไข้ห่าหรือโรคห่าโรคฝีดาษหรือบางทีเรียกไข้ทรพิษหรือไข้หัวก็จัดอยู่ในโรคห่า ดังนั้น ห่าจึงหมายถึงโรคระบาด “ห่าลง” หมายถึงโรคระบาดที่มีคนตายจำนวนมากๆ ส่วนห่ากินหมายถึงตายโดยเชื่อว่าถูกผีห่ามากิน เมื่อมันไม่เป็นคำที่เป็นมงคลจึงกลายเป็นคำสบถและคำด่ากันในหลายรูปแบบอย่างท้าทายจินตนาการ
ไมเคิล ไรท์ นักประวัติศาสตร์ฝรั่งรักเมืองไทย เล่าไว้ตั้งแต่ เมื่อปี 2522 ว่า Black Death สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอังกฤษ ภาษาอังกฤษทุกวันนี้เดิมทีเดียวเป็นภาษาของคนอังกฤษที่อยู่บ้านนอก Black Death ทำให้คนชั้นสูงในเมืองล้มหายตายจากเกือบหมดจนทำให้ภาษาอังกฤษของชาวนาที่รอดจาก Black Death กลายเป็นภาษาอังกฤษที่ใช้กันมาตราบจนทุกวันนี้
Black Death น่าจะทำให้มีการย้ายเมืองมาตั้งที่อยุธยาอยู่เป็นเวลา 417 ปีก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพถึงปัจจุบันอีก 238 ปี ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าไม่มีอิทธิพลจาก Black Death แล้ว พวกเราจะเป็นอย่างไรกันและอยู่ที่ไหนในปัจจุบัน
โควิด-19 ที่มีคนตายถึงปัจจุบัน 660,000 คน ยังไม่ไช่การระบาดครั้งใหญ่เมื่อเทียบกับโรคระบาดในประวัติศาสตร์ที่ไม่มีการป้องกันและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ แต่ที่เรารู้สึกว่ามันน่ากลัวมาก ก็เพราะเราเผชิญกับมันอยู่ในปัจจุบันมิใช่เป็นเพียงตัวเลขในประวัติศาสตร์ เช่นครั้งอื่นๆ มนุษย์ในวันนี้โชคดีกว่ามนุษย์ในประวัติศาสตร์อย่างมหาศาล ดังนั้น เราจึงควรตระหนักในความโชคดีนี้ และช่วยกันทำให้โลกของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น