เร่งอัพคุณภาพครู-เด็กนอกระบบกว่า 35,140 ราย
กสศ.ดึง 66 ภาคีเครือข่าย พัฒนาคุณภาพครูและเด็กนอกระบบกว่า 35,140 ราย ทั่วประเทศ นำร่องชุมชนโรงหมูคลองเตย แก้ปัญหาที่ฐานราก สร้างหลักประกันทางการศึกษาให้กับเด็กกลุ่มเสี่ยง ส่งเสริมนวัตกรรมเชิงพื้นที่
เมื่อเร็วๆนี้ ที่ชุมชนโรงหมู เขตคลองเตย โครงการสนับสนุนองค์ความรู้และพัฒนาเครือข่ายครูและเด็กนอกระบบการศึกษาในกรุงเทพมหานครบนฐานภาคประชาสังคม ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดเวทีแลกเปลี่ยนระหว่างเครือข่ายภาคประชาสังคมที่สนับสนุนเด็กนอกระบบฯในกรุงเทพมหานคร
ภายในงานยังมีกิจกรรมสันทนาการของกลุ่มเครือข่ายคลองเตยดีจัง คาราวานปันกันเล่น เล่นอย่างไรให้ปลอดภัยจากโควิด-19 โดยมีเด็กในพื้นที่ชุมชนเข้าร่วมกว่า 80 คน
นิสา แก้วแกมทอง รักษาการ ผอ.สำนักพัฒนาการเรียนรู้เชิงพื้นที่ กสศ. กล่าวว่า คาดการณ์ว่าปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศ คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 330,000 ล้านบาทต่อปี หรือร้อยละ3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP)
ทั้งนี้ กสศ.พร้อมที่จะค้นหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา เพื่อช่วยเหลือให้ได้รับการศึกษาและเกิดทักษะอาชีพจึงสนับสนุน โครงการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษา ปีการศึกษา 2563 ให้แก่ 66 องค์กรภาคีเครือข่าย ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเด็กนอกระบบที่ฐานะยากจนขาดแคลนทุนทรัพย์ ไม่สามารถเข้าสู่ระบบการศึกษา อายุตั้งแต่ 2–25 ปี โดย กสศ.สนับสนุนเงินช่วยเหลือคนละ 3 พันบาท เพื่อนำไปจัดการศึกษาเรียนรู้ หรือพัฒนาทักษะอาชีพ ตามความต้องการและศักยภาพของเด็ก โดยมีองค์กรหรือภาคีเครือข่ายเป็น “ครูพี่เลี้ยง”
นิสา กล่าวว่า สำหรับโครงการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษา จะดำเนินงานช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาร่วมกับเครือข่ายเชิงพื้นที่ 6 ภาค อาทิ เหนือ,กลาง, อีสาน, ใต้,ตะวันออก และตะวันตก พร้อมพัฒนาศักยภาพ “ครูพี่เลี้ยง” ให้เข้ามาเป็นฟันเฟืองในการทำงาน ประสานส่งต่อเด็กนอกระบบให้กับ กสศ. เพื่อจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน แบ่งประเภทและจัดทำรูปแบบการศึกษา ตามความเหมาะสม และกสศ.จะติดตามและประเมินผลต่อไป คาดว่าจะมีครูหรือผู้ดูแลเด็กนอกระบบการศึกษาได้รับประโยชน์จำนวน 3,781 คน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาจำนวน 35,140 คน
"ชุมชนโรงหมู เขตคลองเตย ถือเป็นเป้าหมายแรกที่จัดกิจกรรม ซึ่งครอบคลุมเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาจำนวน 180 คน อายุ 4- 20 ปี ขณะเดียวกันยังครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่เป็นครูหรือผู้ดูแลเด็กจำนวน 12 คน และกิจกรรมในวันนี้ เป็นเหมือนเวทีพูดคุยเพื่อทำความรู้จักภาคีเครือข่ายที่ทำงานร่วมกัน ได้มาสะท้อนแนวคิด แลกเปลี่ยนสถานการณ์ สภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่ มาแชร์ไอเดียการจัดการเรียนรู้"นิสา กล่าว
โดยศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นภาคีเครือข่ายสำคัญ ที่เข้ามาทำโครงการเชิงรุกดูแลเด็กนอกระบบในพื้นที่กรุงเทพฯ และพัฒนาภาคีเครือข่าย นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ดำเนินการ อาทิ ชุมชนบ้านมั่นคง ชุมชนริมคลองวัดสะพานชุมชนแฟลต 23 ชุมชนแฟลต 24 ชุมชนแฟลต 25 ทั้งหมดจะช่วยเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาในพื้นที่กรุงเทพฯให้เข้าถึงการศึกษาทั้งแบบในห้องเรียนและนอกห้องเรียนได้
อนรรฆ พิทักษ์ธานิน หัวหน้าโครงการพัฒนาระบบสนับสนุนดูแลเด็กนอกระบบการศึกษา และเด็กบนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร และศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การช่วยเหลือเด็กที่มีความเสี่ยงออกนอกระบบการศึกษาให้ได้รับการศึกษาที่ต่อเนื่อง ภาคประชาสังคมเป็นฟันเฟืองที่สำคัญ ความคาดหวังจากการเปิดเวทีพูดคุยกับภาคีเครือข่ายในครั้งนี้ เพื่อสร้างเครือข่ายในการทำงานให้ยั่งยืน มีการขยายการดำเนินงานในพื้นที่อื่นต่อไป คาดว่าในอีกหนึ่งปีข้างหน้าจะมีเด็กอยู่ในความดูแลของภาคประชาสังคมทั่วกรุงเทพฯถึง1,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กที่เสี่ยงออกนอกระบบการศึกษาและอยู่นอกระบบการศึกษาทั้งหมด
"คลองเตยดีจัง เป็นหน่วยงานที่ทำงานกับเด็กนอกระบบการศึกษาและกลุ่มเด็กเปราะบางมาเป็นเวลานาน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการทำงาน เครือข่าย และชุมชม ต้องสร้างภาพลักษณ์ของเด็กกลุ่มเปราะบางและเด็กนอกระบบการศึกษาให้เป็นวาระสาธารณะ รวมถึงการมีส่วนร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้เกิดการทำงานในระดับนโยบายต่อไป”อนรรฆ กล่าว
อนรรฆ กล่าวว่า สำหรับการเปิดเวทีพูดคุยกับเครือข่าย เราได้ทบทวนสถานการณ์ของเด็ก ได้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านนวัตกรรมการทำงาน นวัตกรรมการศึกษา เพื่อให้เกิดนวัตกรรมเชิงพื้นที่ ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือ ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้เด็กกลุ่มเปราะบางเสี่ยงหลุดออกนอกระบบเพิ่มขึ้น ดังนั้นเราต้องช่วยกันแก้ที่ฐานราก สร้างหลักประกันทางการศึกษาให้กับเด็กกลุ่มเสี่ยง
ส่วนเด็กในพื้นที่คลองเตย มีภาคประชาสังคมดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อเกิดสถานการณ์ต่างๆขึ้นกับเด็ก สามารถประสานส่งต่อความช่วยเหลือจากหน่วยงานในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณ กสศ.ที่เข้ามาสนับสนุนงบประมาณส่งเสริมองค์ความรู้ ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถยกระดับเชิงนโยบายได้