รัฐบาลเตรียมพร้อมสถานีชาร์จ 'รถอีวี' สั่ง 3 การไฟฟ้าศึกษาตั้งทุก 50 กม.
รัฐเตรียมพร้อมสถาานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าพร้อมสั่ง 3 การไฟฟ้าเตรียมพร้อมรองรับรถอีวีตั้งสถานีชาร์จทุกๆ 50 – 70 กม. เดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนฯตั้งเป้ากำลังผลิต 1,933 เมกะวัตต์ภายในปี 2567 ดัน 100 เมกกะวัตต์
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ดำเนินการขับเคลื่อนแผนนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ 2561-2580 ซึ่งเป็นแผนการพผลิตไฟฟ้าที่อยู่ในแผนการพัฒนาผลิตไฟฟ้าหลักของประเทศ (พีดีพี) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานครอบคลุมทั้งระบบผลิตไฟฟ้า ส่งไฟฟ้า และจำหน่ายไฟฟ้า โดยคำนึงถึงต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม ลดภาระผู้ใช้ไฟฟ้า อีกทั้งต้องลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมากขึ้นด้วย
โดยรัฐบาลได้เตรียมพร้อมเรื่องของการปรับเปลี่ยนและรองรับจากยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นไฟฟ้าในอนาคต โดยส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าทั้งในพื้นที่ชุมชนและถนนสายหลักระหว่างเมือง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยกระตุ้นให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น จึงได้มีการสั่งการให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ดำเนินการกำหนดพื้นที่ติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าให้เพียงพอสำหรับการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV Mapping) โดยให้มีระยะห่างของแต่ละสถานีภายในรัศมีไม่เกิน 50-70 กิโลเมตร
ในส่วนของการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนโดยโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากจะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าในเร็วๆนี้ โดยเน้นการผลิตไฟฟ้าตามศักยภาพของการปลูกพืชพลังงานในพื้นที่ เช่น การส่งเสริมการปลูกหญ้าเนเปียร์ กระถินณรงค์ เพื่อให้เกิดการสร้างงานและอาชีพในท้องถิ่น จึงอยากให้เกษตรกรวางแผนรวมตัวกันเพื่อปลูกพืชพลังงานให้มากๆ ทั้งนี้ เป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าในช่วงปี 2563-2567 มีปริมาณรวม 1,933 เมกะวัตต์ เริ่มที่โครงการ Quick Win (ระยะเร่งด่วน) จำนวน 100 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในปี 2563 และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายใน 12 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
สำหรับนโยบายในเรื่องของการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน รัฐบาลได้ตั้งเป้าการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนทางเลือก (ไฟฟ้า ความร้อน และเชื้อเพลิงชีวภาพ) ต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายที่ 30% ในปี พ.ศ. 2580 และเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ ในปี 2580 เป็น 34.23% มากกว่าแผนเดิม ที่ตั้งไว้ที่ 20.11% โดยเน้นที่พลังงานแสงอาทิตย์ (กำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 9,290 เมกะวัตต์ จากเดิม 6,000 เมกะวัตต์) และพลังแสงอาทิตย์ลอยน้ำ (เพิ่มเป็น 2,725 เมกะวัตต์ จากเดิม ที่ไม่ได้ตั้งเป้าไว้) รวมทั้งได้เร่งสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศ จะมีการทบทวนโครงการสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน เพื่อให้การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเกิดประโยชน์สูงสุด