ทบทวนโครงการใช้เงินกู้ 4 แสนล้าน
ทบทวนโครงการเงินกู้กรอบวงเงิน 4 แสนล้านบาท ที่นำมาใช้สำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากผลกระทบจากโควิด-19 ที่ปัจจุบันมีการอนุมัติโครงการไปแล้ว 9 หมื่นล้านบาท แต่ภภาครัฐจะวางแนวทางการบริหารจัดการอย่างไร ให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้มากขึ้น?
2.โครงการฝึกอบรมพัฒนาทักษะและอาชีพ สำหรับแรงงานที่มีการศึกษาต่ำกว่าอุดมศึกษา การฝึกอบรมอาชีพต้องเน้นหลักสูตรและการวัดผลตามสมรรถนะ หรือความสามารถในการประยุกต์ใช้ทักษะความรู้ (competency based curriculum) โดยสนับสนุนให้สถาบันการศึกษาร่วมพัฒนาหลักสูตรกับภาคเอกชน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมมีทักษะตรงกับความต้องการตลาด การประเมินผลโครงการต้องวัดจากอัตราการมีงานทำหลังจบหลักสูตร
สำหรับการใช้งบประมาณภายใต้กรอบวงเงิน 4 แสนล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันมีการอนุมัติโครงการไปแล้ว 9 หมื่นล้านบาท การใช้จ่ายงบประมาณภายใต้กรอบวงเงินดังกล่าวรวมถึงการจัดสรรเงินในอนาคต นอกเหนือจากการเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว รัฐควรกำหนดเป้าหมายเพื่อลดจำนวนผู้ว่างงาน ตลอดจนการพัฒนาทักษะของแรงงานที่ได้รับผลกระทบให้สามารถหันไปประกอบอาชีพอื่นที่ตลาดต้องการได้ด้วย
ตัวอย่างรูปธรรมของการพัฒนาทักษะใหม่ เช่น การอบรมพนักงานบริการด้านนวดและสปาให้มีทักษะด้านการดูแลคนชราและผู้ป่วย โดยอาศัยการร่วมมือกับโรงพยาบาลและสถานดูแลผู้สูงอายุ/ผู้ป่วย เป็นต้น
ภาครัฐควรวางแนวทางการบริหารจัดการอย่างน้อย 3 แนวทาง คือ
1.การกระจายอำนาจตัดสินใจคัดเลือกโครงการและการดำเนินงานไปยังจังหวัดต่างๆ โดยให้คณะกรรมการระดับจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะคนในพื้นที่จะมีความรู้เรื่องศักยภาพ ความต้องการของธุรกิจ ข้อมูลและข้อจำกัดต่างๆ ดีกว่าคณะกรรมการในส่วนกลาง และการบริหารจัดการระดับจังหวัดต้องไม่ใช่การแยกส่วนให้หน่วยราชการต่างคนต่างทำ แต่จะต้องบูรณาการความร่วมมือกันระหว่างหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ
ส่วนคณะกรรมการส่วนกลางควรมีบทบาทด้านการกำหนดเป้าหมาย หลักเกณฑ์การพิจารณาโครงการและจัดสรรงบประมาณ สำหรับจังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนมาก เช่นจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญควรได้รับการจัดสรรงบประมาณมากกว่า และการกำหนดนโยบายต่างๆ รัฐควรใช้ประโยชน์จากข้อมูลผู้ที่ถูกผลกระทบจากโควิดที่ลงทะเบียนไว้ในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะฐานข้อมูล “เราไม่ทิ้งกัน” และ “บัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย”
ในการดำเนินงานตามแนวทางนี้ สภาพัฒน์จะต้องส่งคืนข้อเสนอโครงการกว่า 40,000 โครงการ เพื่อให้จังหวัดต่างๆ ทบทวนและยุบรวมโครงการต่างๆ ให้เกิดการบูรณาการด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ซึ่งจะทำให้จำนวนโครงการของแต่ละจังหวัดลดเหลือไม่เกิน 10-20 โครงการ วิธีนี้จะช่วยให้ต้นทุนการบริหารจัดการโครงการลดลง ก่อผลสัมฤทธิ์อย่างมีนัยสำคัญ แทนโครงการแบบเบี้ยหัวแตก อีกทั้งสะดวกต่อการติดตามและประเมินผล
2.การจัดตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในสภาพัฒน์ที่เป็นมืออาชีพและเป็นสถาบันค่อนข้างถาวร เนื่องจากการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นงานที่ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี จึงต้องการผู้รับผิดชอบที่มีความรู้และประสบการณ์ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คำแนะนำแก่รัฐบาล โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณ การกู้เงิน การเก็บภาษีเพื่อชำระหนี้ การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม การพัฒนาทักษะความรู้ของแรงงานไทย ตลอดจนการพัฒนาความร่วมมือกับบริษัททั้งในประเทศและต่างชาติและรัฐบาลต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
องค์ประกอบของคณะกรรมการต้องเป็นผู้บริหารมืออาชีพและมีผู้ทรงคุณวุฒิคล้ายกับคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจมหภาคและงบประมาณ ซึ่งมีตัวแทนจาก 4 หน่วยงานหลัก ได้แก่ สภาพัฒน์ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักงบประมาณ นอกจากนี้จะต้องมีผู้แทนหน่วยราชการที่ดูแลภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนและนักวิชาการ ร่วมด้วย
3.โครงการภายใต้แผนการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจควรเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม การสร้างงานและสร้างทักษะแรงงานตามความต้องการของตลาด ไม่ใช่ความต้องการของหน่วยราชการ
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ควรมีหลักการลงทุนที่คล้ายกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) คือต้องเป็นการลงทุนที่เกื้อหนุนการลงทุนของภาคเอกชน (crowding-in investment) เพราะเงินที่ใช้ในนโยบายฟื้นฟูฯ ครั้งนี้เป็นเงินกู้ ยิ่งกว่านั้นรัฐควรสร้างกติกาและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อชักจูงใจให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้ลงทุนในโครงการต่างๆ ร่วมกับรัฐ
วิธีนี้จะทำให้รัฐไม่ต้องกู้เงินจำนวนมากเพื่อลงทุนในอนาคต เศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้มากขึ้นตามศักยภาพที่แฝงอยู่ในจังหวัดต่างๆ ของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาอาจไม่มีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากส่วนกลาง