เกาะกระแสฟันด์โฟลด์ดัน‘หุ้นไทย’โค้งท้ายปีไปต่อ
เดินทางเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี ซึ่งบรรดากูรูส่วนใหญ่ยังมองบวกว่า หุ้นไทยมีโอกาสขึ้นต่อรับกระแสฟันด์โฟลด์ แต่กรอบการขึ้นเริ่มจำกัดเพราะบวกกระหน่ำมามากแล้ว
โดย ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยเดือนธ.ค. คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,390 จุด และแนวต้าน 1,450 จุด
แม้ตลาดจะขึ้นมามากแล้วในเดือน พ.ย. แต่ยังมีปัจจัยหนุนจากกระแสเงินลงทุนต่างชาติที่ยังมีโอกาสไหลเข้าต่อเนื่องในเดือน ธ.ค. อีกราว 3-4 หมื่นล้านบาท หรือ ซื้อเฉลี่ย 2 พันล้านบาทต่อวัน
ขณะเดียวกันผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนได้ผ่านจุดต่ำไปแล้วในไตรมาส 2 รวมทั้งยังมีปัจจัยบวกข่าวความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น และช่วงปลายปีภาครัฐมักจะอนุมัตินโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่
อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศ ซึ่งในช่วงรอยต่อการชุมนุมทางการเมืองกับการปฏิรูป ถ้าสามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่น เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยพร้อมปรับตัวขึ้นต่อได้
สำหรับกลยุทธ์แนะนำลงทุนหุ้น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.หุ้นใหญ่ที่ราคายังปรับตัวขึ้นไม่เยอะ (Laggard) และจ่ายปันผลดี เช่น ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL
2.หุ้นที่ได้รับอานิสงก์ข่าวความคืบหน้าวัคซีนโควิด-19 เช่น บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR, บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III และ 3.หุ้นตามธีมนโยบายรัฐบาลในปีหน้า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและท่าเรือที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออกรถยนต์จะได้ประโยชน์มากที่สุด เช่น บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT, บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) หรือ NYT
ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ ประเมินว่าหุ้นไทยเดือน ธ.ค. จะมีแนวรับที่ 1,350 จุด และ แนวต้านที่ 1,460 จุด โดยอัพไซด์เริ่มจำกัดจากราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ยังคงมีกระแสเงินทุนต่างชาติเข้ามาต่อเนื่องในหุ้นคุณค่า (Value Stock) ทั่วโลกรวมถึงไทยที่มีหุ้นประเภทนี้อยู่มากซึ่งจะเป็นตัวประคับประคองตลาด
โดยเงินทุนต่างชาติครึ่งเดือนแรกยังมีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่องจากเดือน พ.ย. แต่ครึ่งเดือนหลังเป็นช่วงใกล้เทศกาลหยุดปลายปี มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติปรับพอร์ตจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ด้วยการขายสินทรัพย์เสี่ยงและกลับไปถือบอนด์ช่วงสิ้นปี
พร้อมกันนี้ต้องติดตามปัจจัยนอกประเทศ ทั้งการประชุมของธนาคารกลางทั่วโลก ท่าทีกลุ่มโอเปกพลัสที่จะไม่ต่ออายุมาตรการลดกำลังการผลิต หลังราคาน้ำมันปรับขึ้นมากในช่วงนี้ ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศหากไม่เกิดความรุนแรงจะเป็นแค่ความเสี่ยงที่รบกวนตลาดเป็นระยะๆ เท่านั้น
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนระยะสั้นแนะนำเข้าเก็งกำไรหุ้น Value Stock อิงกับเศรษฐกิจโลก เช่น น้ำมันและปิโตรเคมี ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL แต่ต้องกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เอาไว้
ส่วนนักลงทุนระยะยาวไม่ต้องรีบร้อนควรรอดูไปก่อนเพราะราคาหุ้นยังค่อนข้างแพงมาก มีโอกาสที่ตลาดจะปรับฐานหลุด 1,400 จุด ซึ่งถือเป็นจุดเข้าซื้อรอบใหม่ เน้นหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ยัง Laggard หุ้นกลุ่มส่งออก อิเล็กทรอนิกส์ อาหารเกษตรยังน่าสนใจ รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโควิดที่ราคาปรับลงมามากแล้ว เช่น กลุ่มถุงมือยาง เพราะแม้จะมีข่าววัคซีนแต่จำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT, บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE และ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO
ส่วน อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ คาดว่า ตลาดหุ้นไทยเดือน ธ.ค. จะพักฐานที่แนวรับ 1,390 จุด และแนวต้าน 1,455 จุด โดยปัจจัยหนุนยังมาจากแนวโน้มเงินทุนต่างชาติที่คาดว่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยระยะ 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าอีกราว 5 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ต้องรอดูว่าวัคซีนจะอนุมัติใช้ได้จริงในกลางเดือนหน้าหรือไม่ ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศไม่ให้น้ำหนักมากนัก เพราะการชุมนุมไม่รุนแรงและไม่ยืดเยื้อข้ามวัน
กลยุทธ์แนะนำเก็งกำไร (Trading) เทรดดิ้งเลือกหุ้นรายตัว เน้นหุ้นใหญ่ราคายัง Laggard และมีเงินปันผลระดับ 3-4% ต่อปี เช่น กลุ่มแบงก์ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP และกลุ่มพลังงาน อย่างบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO และ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH