เปิด 'จุดพลิก-จุดต่าง' โควิด-19 ระบาดรอบใหม่
โควิด-19 ระบาดรอบใหม่ในประเทศไทย ยังอยู่ในกราฟขาขึ้นในอัตราที่สูง จากเดิมมีพื้นที่ควบคุมสูงสุดหรือสีแดงเพียง 1 จังหวัด คือ สมุทรสาคร แต่ล่าสุดเพิ่มเป็น 3 จังหวัดแล้ว
ตามแผนที่แสดงจังหวัดที่พบผู้ป่วยของกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงรหัสสีแดงเพิ่มในอีก 3 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ระยอง และนครปฐม จากการที่มียอดผู้ติดเชื้อตั้งแต่ 51 รายขึ้นไป และแนวโน้มจะเพิ่มจ.ชลบุรี ซึ่งนับเป็นจุดพลิกของการระบาดรอบนี้ที่มีจุดต่างจากรอบแรกในส่วนของสายพันธุ์ไวรัสด้วย
การเกิดขึ้นของโควิด-19 ระบาดรอบใหม่ในประเทศไทย สัญญาณถูกตรวจพบจากหญิง อายุ 67 ปีเจ้าของแพปลาที่ตลาดกลางกุ้งจ.สมุทรสาคร ก่อนตามมาด้วยสมาชิกในครอบครัวอีก 3 รายติดเชื้อ และกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ตัดสินใจตรวจค้นหาเชิงรุกในกลุ่มคนรอบตลาดกลางกุ้ง โดยใน 1 วันตรวจพบผู้ติดเชื้อถึง 516 รายเป็นการบอกว่าเกิดการระบาดขึ้นในพื้นที่ เป็นเหตุให้มีการประกาศล็อกดาวน์และประกาศเคอร์ฟิวจ.สมุทรสาคร และห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้าออกเด็ดขาด
การปิดล้อมจุดศูนย์กลางระบาด และขยายวงตรวจหาเชื้อในจุดต่างๆที่ห่างออกไป เพื่อควบคุมโรค ส่งผลให้แนวโน้มการควบคุมโรคในพื้นที่นี้ดีขึ้นโดยลำดับ และนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) คาดว่าในอีก 1-2 สัปดาห์น่าจะสามารถประกาศให้พ้นจากพื้นที่ควบคุมได้
อย่างไรก็ตาม สะเก็ดไฟจากกองไฟกองนี้ได้มีการกระจายไปยังจังหวัดต่างๆกว่าครึ่งประเทศแล้ว จึงเป็นสิ่งที่จังหวัดจะต้องตามตะครุบและดับสะเก็ดไฟเหล่านี้ให้ทันการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดไฟกองใหญ่และลุกลามขึ้น ด้วยการเฝ้าระวังกลุ่มคนที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุด
และด้วยสถานการณ์ในช่วงต้นที่ยังพบการระบาดสูงเพียงแค่พื้นที่เดียว จึงน่าจะเป็นจุดสำคัญที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19(ศบค.)ตัดสินใจ “ไม่ล็อกดาวน์ประเทศ” แต่ใช้มาตรการแบ่งโซนพื้นที่เป็น 4 ระดับ ประกอบด้วย พื้นที่ควบคุมสูงสุด จ.สมุทรสาครเพียงแห่งเดียว พื้นที่ควบคุมคือพื้นที่ที่ติดพื้นที่ควบคุมสูงสุด มีผู้ติดเชื้อเกินกว่า 10 รายและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น พื้นที่เฝ้าระวังสูงสุดคือพื้นที่ที่ผู้ติดเชื้อไม่เกิน 10 รายและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และพื้นที่เฝ้าระวังคือพื้นที่ที่ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ
- จุดพลิก กลุ่มก้อนซ้อนทับ
ทว่า ระหว่างที่มีการเข้มมาตรการคุมไฟกองใหญ่และตะครุบสะเก็ดไฟอยู่นั้น ก็เกิดกลุ่มก้อนผู้ติดเชื้อซ้อนทับขึ้นมา เริ่มจากจ.กระบี่ ในปาร์ตี้บิ๊กไบค์เกาะลันตาระหว่างวันที่ 11-12 ธ.ค.ที่มีผู้เดินทางจากสมุทรสาครไปร่วมงานติดโควิด-19 ต่อมาพบผู้ร่วมปาร์ตี้ในจ.กระบี่ ภูเก็ต และสงขลาติดเชื้อ และยังส่งต่อเชื้อไปยังอีกรุ่นเป็นสมาชิกในครอบครัว แต่แนวโน้มของกหลุ่มก้อนนี้น่าจะคุมสถานการณ์ไว้ได้ เพราะในการเข้าร่วมปาร์ตี้นั้นมีการลงทะเบียนผู้ร่วมงานทุกคน การติดตามตัวจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
กรุงเทพมหานคร ที่ยังมีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น โดยการสอบสวนโรคเบื้องต้น พบว่าเกิดขึ้นแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.เชื่อมโยงจ.สมุทรสาคร มีผู้ติดเชื้อกว่า 70 รายกว่า อาทิ พื้นที่เขตบางขุนเทียน 27 ราย หนองแขม 7 ราย บางแค 5 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่บริเวณรอยต่อจ.สมุทรสาคร การกระจายของผผู้ป่วยจะอยู่เป็นกลุ่มๆ ลักษณะคล้ายชุมชน
2. ในโรงงานผลิตรองเท้าแห่งหนึ่งย่านพระราม 2 เขตบางขุนเทียน ซึ่งการสอบสวนโรค พบผู้ป่วย 7 ราย เป็นชาย 6 ราย หญิง 1 ราย คนไทย 1 รายและคนเมียนมา 6 ราย เป็นพนักงานรายวันในสายการผลิตเดียวกัน พบว่ามีเชื้อปนเปื้อนที่ก๊อกน้ำ อ่างน้ำและห้องน้ำ ดังนั้น ปัจจัยเสี่ยงของการแพร่โรคแห่งนี้จึงอยู่ที่การเป็นพนักงานใสนสายการผลิตเดียวกันและใช้ห้องน้ำร่วมกัน
และ 3.กลุ่มก้อนสถานบันเทิง พบผู้ติดเชื้อแล้ว 22 ราย โดยพบว่าผู้ป่วยรายแรก เป็นนักเที่ยวจากจังหวัดนนทบุรีที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรีได้รายงานเป็นผู้ติดเชื้อก่อนหน้านี้และได้แถลงไทม์ไลน์แล้ว โดยยังพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันการสอบสวนโรคพบว่ากลุ่มผู้ติดเชื้อให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่าร้านอาหการที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย 3 ร้าน ประกอบด้วย 1.ร้านอีสานกรองแก้ว แถวปิ่นเกล้า 2.ร้านแซ่บอีสานคาราโอเกะ ย่านเทเวศน์ และ 3.ร้านน้องใหม่พลาซ่า ย่านปิ่นเกล้า
จ.ระยอง ซึ่งเป็น “ไฟกองใหญ่กองใหม่” ไม่ได้เชื่อมโยงกับไฟกองเดิมที่สมุทรสาคร คือ “กลุ่มก้อนผู้ติดโควิด-19 ในวงพนัน” ซึ่งเกิดขึ้นในวงจรของการทำผิดกฎหมาย ความยากของการสอบสวนและควบคุมโรคในกลุ่มก้อนนี้ จึงอยู่ที่ “นักพนัน”มักจะปกปิดประวัติความจริง ไม่บอกข้อมูลที่แท้จริง สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้การควบคุมโรคและติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงคนอื่นๆมีความซับซ้อน ยุ่งยากและใช้เวลานานขึ้น และกลุ่มก้อนนี้ก็มีการเดินทางออกไปในจังหวัดต่างๆด้วย “เพียงแต่จะกล้าบอกความจริงหรือไม่ว่ามาจากกลุ่มก้อนนี้” ที่สำคัญที่สุด พบการติดเชื้อในชุมชนในกลุ่มประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงพนันเกิดขึ้นแล้วในจ.ระยอง เท่ากับมีการระบาดเกิดขึ้นในพื้นที่แล้ว
กระทั่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง มีคำสั่งกึ่งล็อกดาวน์จ.ระยอง ด้วยการปิดสถานที่เสี่ยง และประกาศให้ “อำเภอเมืองระยอง”เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับจ.สมุทรสาคร นั่นเพราะแนวโน้มผู้ติดเชื้อที่ยังตรวจพบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด จ.ชลบุรี ซึ่งวันเดียวพบผู้ติดเชื้อกลุ่มก้อน 108 ราย และยังอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค
- จุดต่าง สายพันธุ์แพร่เร็ว
แม้ว่าหลังสิ้นสุดการระบาดรอบแรกจากต้นปีจนสู่ปลายปี ประเทศไทยจะมีการเตรียมรับมือระบาดรอบใหม่มาอย่างต่อเนื่องและมีความพร้อมมากขึ้นในหลายๆด้าน ทั้งทรัพยากร ประสบการณ์และองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้
แต่จุดต่างหนึ่งที่สำคัญของรอบแรกและรอบใหม่ คือ “สายพันธุ์ไวรัส” ซึ่งนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การถอดรหัสสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ก่อโรคโควิด-19 จากผู้ติดเชื้อในพื้นที่จ.สมุทรสาครทั้งคนไทยและเมียนมา พบเป็นสายพันธุ์จีเอช(GH)ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับที่จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา อ.แม่สาย จ.เชียงราย และอ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งต้นทางมาจากประเทศอินเดีย เข้ารัฐยะไข่ของเมียนมา และเข้าสู่ประเทศไทย
ขณะที่สายพันธุ์ที่ระบาดในรอบแรกนั้นเป็นสายพันธุ์เอส (S) ที่มีการแพร่กระจายเชื้อได้ช้ากว่าสายพันธุ์จีเอช แต่การเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ไวรัสในขณะนี้นั้น ยังไม่มีรายงานว่าเชื้อก่อโรคแล้วทำให้มีอาการรุนแรงขึ้น
การระบาดรอบใหม่จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ศ.นพ.ประสิทธิ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศืริราช คาดการณ์ว่า การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดในระลอกใหม่ ต้องใช้เวลานาน 2-3 เดือน โรคถึงจะสงบ ทั้งนี้ก็ต้องไม่มีคลัสเตอร์หรือกลุ่มก้อนใหม่เกิดขึ้น
หากพิจารณาจากความตระหนักและตื่นตัวของภาคประชาชนและเอกชนในการให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันต่างๆใส่หน้ากาอนามัยให้ได้ 100 % ล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำสบู่และแอลกอฮอล์เจล เว้นระยะห่าง ไม่ไปในสถานที่ที่แออัด และสแกนไทยชนะเมื่อเข้าใช้บริการสถานที่ต่างๆ ดูจะน้อยกว่าในรอบแรกพอสมควร
เช่นนี้แล้วก็อาจเป็นไปที่ประเทศไทยจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทะลุ 1,000 รายต่อวัน และมากที่สุดถึง 18,000 ราย ตามฉากทัศน์การระบาดรอบใหม่ที่สธ.จัดทำขึ้น