อุตฯปั้นสตาร์ทอัพ เพิ่มมูลค่าการลงทุนกว่า 500 ล้านบาท
กระทรวงอุตสาหกรรม เสริมศักยภาพผู้ประกอบการสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเชิงลึก เพิ่มทักษะการวิเคราะห์ความต้องการตลาด พร้อมขยายเครือข่ายสตาร์ทอัพ เครือข่ายเงินทุน เครือข่ายตลาด และขยายเครือข่ายนานาชาติ คาดขยายมูลค่าการร่วมลงทุนได้กว่า 500 ล้านบาท
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุว่า กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศ ตามแนวนโยบายนวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ผ่านการสนับสนุนผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการดำเนินธุรกิจ จึงได้สั่งการ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ดำเนินโครงการเชื่อมโยงตลาดสําหรับวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ STARTUP CONNECT ขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาดและรับการสนับสนุนจากนักลงทุน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตาร์ทอัพที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเทคโนโลยีเชิงลึก ซึ่งปีที่ผ่านมาในระยะนำร่อง ได้คัดเลือกผู้ประกอบการสตาร์ทอัพจำนวน 6 ราย นำเสนอโมเดลธุรกิจต่อนักลงทุนและบริษัทร่วมลงทุน โดยบริษัท อีซีจี-รีเซิร์ช จำกัด หนึ่งในนักลงทุนมีความสนใจและร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพกลุ่มนี้ รวมมูลค่ากว่า 350 ล้านบาท ซึ่งคาดว่ามูลค่าการร่วมลงทุนของนักลงทุนในปีนี้จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 500 ล้านบาท ผ่านการดำเนินงาน 4 ขั้นตอนหลัก ประกอบด้วย
1. ขยายเครือข่ายสตาร์ทอัพ เพื่อเฟ้นหาผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ต่อยอดพัฒนาทักษะ ให้มีความพร้อมในการนำเสนอโมเดลธุรกิจกิจกับนักลงทุน 2. ขยายเครือข่ายเงินทุน โดยการสร้างเครือข่ายบริษัทเอกชนที่สนใจลงทุนกับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่ได้รับการส่งเสริมจาก กสอ. เพื่อสร้างความมั่นใจในการร่วมดำเนินธุรกิจ
3. ขยายเครือข่ายตลาด ผ่านกระบวนการทดลองการทำการตลาดในประเทศ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถบรรลุความต้องการของผู้บริโภคทั้งยังช่วยให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมั่นคง และ4. ขยายเครือข่ายนานาชาติ เป็นขั้นตอนสุดท้ายเมื่อผู้ประกอบการมีความพร้อมเพียงพอในการต่อยอดไปยังตลาดนานาชาติ ที่มีมูลค่าตลาดที่สูงขึ้น เพื่อรองรับความต้องการจากต่างประเทศ ทั้งยังเป็นการการันตีให้กับนักลงทุนถึงคุณภาพของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมจาก กสอ.
นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การขยายผลการดำเนินงาน โครงการ STARTUP CONNECT ในปี 2564 มีผู้ประกอบการผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจำนวน 25 ราย จากผู้สมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 500 ราย โดยผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการอย่างเข้มข้น อาทิ การศึกษาความต้องการของลูกค้า เพื่อการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ (Customer Development) การประเมินศักยภาพตลาดกลยุทธ์และการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและการขยายตลาด (Market Strategy) การประเมินศักยภาพเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับแผนการตลาดและการเติบโตของธุรกิจ (Technology Roadmap) รวมทั้งการวิเคราะห์โมเดลธุรกิจ เพื่อการนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความพร้อมเพียงพอที่จะสามารถเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับหน่วยงานเครือข่ายและ Big Brother ของกระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ สมาพันธ์ SMEs สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) อีกทั้งได้มีโอกาสนำเสนอแผนธุรกิจต่อนักลงทุน (Venture capital: VC) เพื่อให้สตาร์ทอัพเหล่านี้ได้มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจต่อไป
อย่างไรก็ดี นอกจากโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักแล้วของการดำเนินการในปีนี้แล้ว เชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างมูลค่าการร่วมลงทุนของนักลงทุนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 500 ล้านบาท ช่วยลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และก่อให้เกิดการพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเชิงลึกที่มีศักยภาพต่อไป