การเมือง
"จุลพันธ์" อัด "นายกฯ" ล้มเหลวแก้ปัญหา- ดันยอดคนจนพุ่ง30ล้านคน
"ส.ส.เพื่อไทย" ชี้ "ผู้นำล้มเหลว"ทำเศรษฐกิจประเทศพัง พบยอดคนจนพุ่งสูง ด้าน "นายกฯ" ยันรัฐบาลมีมาตรการแก้ปัญหา ลั่นไม่เคยมีความสุข เพราะประชาชนลำบาก
เมื่อเวลา 21.35 น. นายจุลพันธ์ อมรรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว. ตอนหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือ ผู้นำเหลวใหล ประเทศล้มเหลว ซึ่งตนยืนยันว่าพล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำที่มือไม่ถึง ไม่มีความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจ ทำให้การแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า ไร้การวางแผน ทำให้นโยบายเปลี่ยนรายวัน คล้ายลิงแก้แห อย่างไรก็ดีนโยบายทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาพบลักษณะเอื้อเจ้าสัว ซึ่งตนขอตั้งคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีสายสัมพันธ์กับบริษัทที่ประกอบธุรกิจขายไก่ขนาดใหญ่หรือไม่ อย่างไรก็ดีจากนโยบายที่ล้มเหลวทำให้พบรายงานของธนาคารโลก แจ้งตัวเลขคนยากจน มีสถิติ กว่า 1.5 ล้านคน ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับรัฐบาลในอดีต
“คนที่ไร้ความสามารถหนึ่งคนอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้คนไทยกว่า 30 ล้านคนยากจน ซึ่งผมไม่นึกว่าคนหนึ่งคนจะสร้างความล่มจมได้มากกว่านี้ ทั้งนี้มีตัวเลขจากการสำรวจพบว่าตั้งแต่การบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์ นับตั้งแต่การรัฐประหารมีความสูญเสีย ซึ่งคิดเป็นตัวเลขทางงบประมาณสูงถึง 5แสนล้านบาท ทั้งนี้ยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำมาจากการระบาดของโควิด-19 แต่หากรัฐบาลแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจะทำได้ดีกว่านี้” นายจุลพันธ์ อภิปราย
นายจุลพันธ์ อภิปรายด้วยว่า ตนขอฝากถามพล.อ.ประยุทธ์ ว่าจิตใจทำด้วยอะไร ทำไมถึงใจดำ ทั้งนี้ โควิด-19 ไม่น่ากลัวเท่ากับทำเศรษฐกิจไทยโคม่า ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยมองไม่เห็นแสงสว่าง อย่างไรก็ดีรัฐบาลทำนโยบายไทยชนะ หมอชนะ แต่ชัยชนะที่เกิดขึ้นคือ ชัยชนะหาความนิยมส่วนตัวของพล.อ.ประยุทธ์ บนเงินกู้ของคนไทย แต่คนไทยทั้งประเทศไม่เคยชนะ ทั้งนี้นายกฯไม่มาจากการเลือกตั้ง จึงเลือกทิ้งประชาชนไว้ข้างหลัง ทั้งนี้ตนจะลงมติไม่ไว้วางใจเพื่อไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกจากตำแหน่ง
จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงทันทีว่า ยอมรับว่าตนรู้ไม่เท่าท่าน แต่ขณะนี้ในทางเศรษฐกิจเดินหน้า มีการเจรจากับธุรกิจ ในระดับทวิภาคี ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยตกต่ำ เพราะพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว ดังนั้นอย่านำประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นในช่วงโควิด-19 เพราะการท่องเที่ยวลดลง อย่างไรก็ตามปัญหาของประเทศคือ ดิสรัปชั่น ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมพร้อมรับมือทางเทคโนโลยี และแก้ปัญหาผ่านมาตรฐานสากลเพื่อไม่ให้ต่างประเทศเพ่งเล็ง
“ทำทุกอย่างภายใต้กติกาสากล สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากนี้มีโครงการปฏิรูปเศรฐกิจหลายโครงการ อาทิ เกษตรกรรม,อุตสาหกรรมใหม่ สำหรับการแก้ปัญหาโควิดระลอกแรก ต้องทำ แม้เราต้องเจ็บ ทั้งนี้ไม่มีใครอยากให้ประชาชนเดือดร้อน ที่กล่าวหาผมว่ามีความสุขกับโควิด จิตใจท่านทำด้วยอยะไร อย่างไรก็ดีผมของฝากให้ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งที่หลายฝ่ายจับตาและตั้งคำถามว่าเมื่อไรจะเลิกขัดแย้ง” พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจง
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงด้วยว่าสำหรับเศรษฐกิจไทย ได้รับผลกระทบจากโควิด ทำให้มีสัดส่วนการเติบโตลดลง6.0% เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพิงการส่งออกและท่องเที่ยว ทำให้ต้องปฏิรูปการท่องเที่ยว และเตรียมพร้อมไว้หลังจากการระบาดโควิด-19 ลดลง นอกจากนั้นพบการขาดแคลนวัยแรงงาน การขยายตัวของประชากรระดับต่ำ อย่างไรก็ดีตนยืนยันว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ปี 2555 - 2562 ดีขึ้นตามลำดับ แต่ในปีต่อไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ด้วยเช่นกัน
"ผมไม่เคยมีความสุขตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะประชาชนเดือดร้อน ที่ผ่านมาผมหาคนที่มีความรู้เข้ามาช่วย ไม่ใช่ใช้แต่อำนาจ ส่วนโครงการที่รัฐบาลดำเนินการนั้น ประชาชนมีความสุข ซึ่งรัฐบาลใช้สมองมากกว่าที่พูดอีก ที่บอกถึงเรื่องภาษี อย่าบอกว่าภาษีใคร เพราะเป็นภาษีของคนไทยทุกคน ไม่มีใครที่ไม่เสียภาษี ทั้งนี้ในปี 2563 มีมาตรการลดภาษี มาตรการทางดอกเบี้ย ทำให้การหารายได้เข้าประเทศลดลง หากไม่กู้จะเอาเงินที่ไหนใช้ อย่างไรก็ดียืนยันว่ารัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือประชาชน ผมคิดว่าเป็นรัฐบาลแรกที่จ่ายเงินตรงถึงผู้รับเงินโดยไม่ผ่านใครทั้งสิ้น" พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจง