โควิด-19 ทำใช้สิทธิเอฟทีเอ-จีเอสพีปี 63 ลด 10.46%
กรมการค้าต่างประเทศเผยยอดใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าปี 63 มีมูลค่า 62,338.86 ล้านดอลลาร์ ลดลง 10.46% จากผลกระทบโควิด-19 เผยอาหาร เครื่องดื่ม เกษตร เกษตรแปรรูป เป็นสินค้าดาวเด่นใช้สิทธิสูง คาดปี64 ยอดใช้สิทธิเพิ่ม
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไปหรือจีเอสพี (GSP) ในปี 2563 ที่ผ่านมา มีมูลค่า 62,338.86 ล้านดอลลาร์ ลดลง 10.46% ซึ่งเป็นไปตามการส่งออกในภาพรวมที่ปรับตัวลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และมีสัดส่วนการใช้สิทธิ 76.06% ของสินค้าที่ได้สิทธิประโยชน์ทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการใช้สิทธิภายใต้เอฟทีเอ มูลค่า 58,077.18 ล้านดอลลาร์ ลดลง 11.41% มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 76.53% และการใช้สิทธิภายใต้จีเอสพี มูลค่า 4,261.68 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.03% มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 70.12%
โดยตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีการใช้สิทธิเอฟทีเอสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.อาเซียน มูลค่า 19,337 ล้านดอลลาร์ 2.จีน มูลค่า 18,955.57 ล้านดอลลาร์ 3.ออสเตรเลีย มูลค่า 6,987.07 ล้านดอลลาร์ 4.ญี่ปุ่น มูลค่า 6,495.44 ล้านดอลลาร์ และ 5.อินเดีย มูลค่า 3,306.88 ล้านดอลลาร์ ส่วนตลาดที่มีการใช้สิทธิจีเอสพีสูงสุด ได้แก่ สหรัฐฯ มูลค่า 3,825.94 ล้านดอลลาร์ รองลงมา คือ สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 270.80 ล้านดอลลาร์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราช มูลค่า 133.92 ล้านดอลลาร์ และนอร์เวย์ มูลค่า 31.02 ล้านดอลลาร์
นายกีรติ กล่าวว่า สำหรับปี 2563 สินค้าที่มีการใช้สิทธิเอฟทีเอสูงสุด ได้แก่ ทุเรียนสด รองลงมา คือ ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ฝรั่ง มะม่วง มังคุด รถบรรทุกขนส่งขนาดไม่เกิน 5 ตัน ยานยนต์สำหรับขนส่งบุคคลตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป มันสำปะหลัง เครื่องดื่มประเภทอื่นๆ ที่ไม่เติมแก๊ส และสินค้าที่ใช้จีเอสพี สูงสุด ได้แก่ ถุงมือยาง รองลงมา คือ อาหารปรุงแต่ง ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ กรดซิทริก เลนส์แว่นตาทำด้วยวัสดุอื่นๆ
แนวโน้มการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า ทั้งเอฟทีเอ และจีเอสพี ในปี 2564 คาดว่า จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ตามการฟื้นตัวของการส่งออก หลังจากที่หลายประเทศเริ่มมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัว กำลังซื้อเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการสินค้ามากขึ้น และไทยจะส่งออกได้ดีขึ้น ขณะที่กรมฯ จะเร่งอำนวยความสะดวกพัฒนางานบริการในด้านการขอใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าผ่านทางออนไลน์ให้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มีการขอใช้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น
ส่วนการต่ออายุโครงการจีเอสพี ของสหรัฐฯ หลังจากที่หมดอายุไปตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ขณะนี้ยังไม่มีการต่ออายุ เพราะสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยน แต่งตั้งบุคลากรที่จะเข้ามาดูแลนโยบายในเรื่องนี้ แต่ไม่มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยที่ต้องการใช้สิทธิจีเอสพี ส่งออกไปสหรัฐฯ โดยผู้นำเข้าต้องวางหลักประกันเอาไว้ก่อน ถ้ามีการต่ออายุก็คืนหลักประกันให้ ซึ่งก็เหมือนกับโครงการที่ผ่านมา มักจะมีการต่ออายุช้าทุกครั้ง บางครั้งช้า 4-5 เดือน บางครั้งช้าเป็นปีก็มี