PRINC เล็งยื่นขออย.นำเข้าวัคซีนโควิด มี.ค.นี้
PRINC เตรียนยื่นขอ อย.นำเข้าวัคซีนโควิดภายในเดือนมี.ค.64 คาดผลดำเนินงานฟื้นตัวช่วงครึ่งหลังของปี 2564 พร้อมเดินหน้าลงทุนขยายโรงพยาบาลเพิ่มอีก3 แห่ง
นายสาธิต วิทยากร ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอลจำกัด(มหาชน) หรือ PRINC เปิดเผยว่า ขณะนี้ในหลาย ๆ ประเทศได้เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ขณะที่ประเทศไทยยังอยู่ในกระบวนการเริ่มต้น กรณีรัฐบาลมีนโยบายจะอนุญาตให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนโควิด-19 โดยให้ยื่นเอกสารขึ้นทะเบียนวัคซีนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ทางบริษัทฯมีความพร้อม คาดว่าจะยื่นขออย.นำเข้าวัคซีนภายในเดือนมี.ค. 2564 เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในการกระจายวัคซีน เพื่อให้การฉีดวัคซีนครอบคลุมจำนวนประชากรในประเทศโดยเร็วที่สุด เนื่องจากคาดหวังว่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยภาพรวมให้กลับมาฟื้นตัว
บริษัทฯประเมินว่าภายหลังเริ่มนำเข้าวัคซีน คาดว่าผลประกอบการน่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 นี้ และยังมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะรับรู้ผลดีจากการขยายโรงพยาบาลในปีที่ผ่านมา จำนวน 2 แห่งคือ โรงพยาบาลวิรัชศิลป์ จังหวัดชุมพร และโรงพยาบาลพริ้นซ์ อุบลราชธานี และในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2564 นี้ อีก 2 แห่ง คือ คือโรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน และโรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯในงวดปี 2563 มีรายได้รวม 2,650.7 ล้านบาท ลดลง 7.7% จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 2,871.5 ล้านบาท กระทบจากสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ขณะเดียวกันพบว่าต้นทุนเพิ่มขึ้นสูงกว่าการเติบโตของรายได้ เป็นผลให้บริษัทฯยังคงแสดงผลขาดทุนสุทธิ 537 ล้านบาท โดยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการขยายโรงพยาบาลแห่งใหม่
อย่างไรก็ตามในปี 2564 นี้มีแผนขยายโรงพยาบาลเพิ่มอีก 3 แห่ง ใน 3 ภูมิภาค ซึ่งภาพรวมผลประกอบการของบริษัทฯ อยู่ภายใต้แผนและการคาดการณ์ของบริษัทฯ โดยปกติธุรกิจโรงพยาบาลจะใช้ระยะเวลา 5 ปีในการคืนทุน ซึ่งบริษัทได้เริ่มลงทุนธุรกิจโรงพยาบาลมาเป็นระยะเวลา 3 ปีเศษ
อย่างไรก็ตาม ฐานะการเงินของบริษัทฯยังมีความแข็งแกร่ง โดยมีส่วนของผู้ถือหุ้นสูงถึงจำนวน 8,297.1 ล้านบาท และอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E) อยู่ที่ 0.73 เท่า อยู่ในระดับบริหารจัดการได้ ทำให้บริษัทฯยังคงการลงทุนในช่วง 3 ปีนี้ (2564-2566) จำนวน 5 พันล้านบาทจากการขายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อมามุ่งเน้นการขยายจำนวนโรงพยาบาลให้เป็นไปตามเป้าหมาย ครบ 20 แห่ง , คลินิกใกล้บ้านใกล้ใจ 100 แห่ง และศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้สูงอายุ 5 แห่ง