10 แนวคิดการทำงานปี 2025 เพิ่มประสิทธิภาพชาวออฟฟิศ เก่งขึ้นกว่าเดิม!

10 แนวคิดการทำงานปี 2025 เพิ่มประสิทธิภาพชาวออฟฟิศ เก่งขึ้นกว่าเดิม!

อยากทำงานเก่งขึ้น? เช็กลิสต์ 10 แนวคิดการทำงานเพื่อพัฒนาตนเองให้ยิ่งเก่งขึ้น แข็งแกร่งมากขึ้น รับมือกับตลาดงานที่จะยิ่งท้าทายมากขึ้นในปี 2025 เสริมศักยภาพสู่ความสำเร็จในอาชีพ

KEY

POINTS

  • ปีใหม่นี้ชวนวัยทำงานมาพัฒนาตนเองให้ทำงานเก่งขึ้น นอกจากจะเป็นการต่อยอดสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้แล้ว ยังเป็นการเพิ่มพูนทักษะ ปรับปรุงในสิ่งที่เคยพลาด และช่วยให้รับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น
  • เปิด 10 แนวคิดการทำงาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคุณให้ดีขึ้นกว่าที่เคย หนึ่งในนั้นคือ การพัฒนาตนเองแบบค่อยเป็นค่อยไปวันละ 1% เมื่อครบ 356 วัน ก็จะพบว่าตนเองพัฒนาดีขึ้นกว่าเดิมเกือบ 38 เท่า! 
  • หากวันใดที่รู้สึกติดขัด ท้อแท้ใจ หรือหมดไฟในการทำงาน ผู้เชี่ยวชาญแนะให้ถอยออกมาเพื่อมองหาเส้นทางอาชีพใหม่ๆ ก็ได้ ไม่ผิด ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ได้แปลว่าเรายอมแพ้

ทำงานเหน็ดเหนื่อยมาตลอดปี 2024 แต่อีกไม่กี่วันชาวออฟฟิศก็จะได้หยุดยาวพักผ่อนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2025 กันแล้ว นอกจากการเฉลิมฉลองความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ อีกสิ่งหนึ่งที่วัยทำงานนิยมทำกันทุกปีคงหนีไม่พ้นการตั้งเป้า New year Resolution เพื่อพัฒนาตนเองสู่เวอร์ชันที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะในเรื่องการทำงาน

การพัฒนาตนเองในการทํางานสำคัญอย่างไร? อย่างที่รู้กันดีว่าโลกทำงานยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็ว หากเราไม่เร่งปรับตัว หรือพัฒนาตนเองสู่ทักษะใหม่ๆ ก็อาจเสียโอกาสในตลาดแรงงาน เพราะทักษะเดิมอาจล้าสมัยไปแล้วในยุคปัจจุบัน อีกทั้งการทำอะไรซ้ำซากจำเจก็อาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟในการทำงานได้ง่าย 

ปีใหม่นี้จึงอยากชวนวัยทำงานลองสำรวจ Passion ในงานของตนเองอีกครั้ง หากพบว่าตนเองยังคงรักในอาชีพปัจจุบันจริงๆ ก็ย่อมต้องการพัฒนาตนเองให้ทำงานนี้ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากจะเป็นการต่อยอดสายอาชีพไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการเพิ่มพูนทักษะ ปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่เคยทำพลาด และเพิ่มความสามารถในการรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้นด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเราถึงต้องมีการพัฒนาตนเองในการทำงาน

ฤกษ์ดีปีหน้าฟ้าใหม่ หากใครกำลังกำหนดเป้าหมายพัฒนาตนเองในเรื่องการทำงานอยู่ล่ะก็ ลองเข้ามาเช็กลิสต์ “10 แนวคิดการทำงาน” ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคุณให้ดีขึ้นกว่าที่เคย กรุงเทพธุรกิจ ได้รวบรวมแนวคิดดีๆ มาเสิร์ฟให้แล้ว ดังนี้ 

1. ใช้แนวคิดปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น 1% ในทุกๆ วัน

คนส่วนใหญ่มักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่เชื่อเถอะว่าหากเปลี่ยนแล้วมันดีต่อชีวิตและการงาน (แม้จะขัดใจและขี้เกียจทำ) ก็ควรลงมือทำซะ! การเปลี่ยนแปลงในที่นี้คือ การปรับปรุงและพัฒนาตนเองแบบค่อยเป็นค่อยไป เพียงวันละ 1% เมื่อครบ 356 วันหรือภายใน 1 ปี เราก็จะกลายเป็นเราในเวอร์ชันที่ดีขึ้นได้แน่นอน

James Clear ผู้เขียนหนังสือชื่อ “Atomic Habits” บอกว่า การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้สร้างขึ้นได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างจากเดิม เมื่อเราพัฒนาขึ้น 1% ทุกๆ วัน เราก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ วันเช่นกัน เมื่อปฏิบัติต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี ก็จะเห็นได้ว่า เราดีขึ้นเกือบ 38 เท่า! เมื่อเทียบกับ 365 วันก่อน ทั้งนี้ เริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายว่าเราอยาพัฒนาตัวเองในเรื่องไหน

ยกตัวอย่างเช่น หากเราอยากทำงานให้เสร็จเร็วขึ้นกว่าเดิม 2 ชั่วโมง ก็อาจตั้งเป้าหมายว่าจะต้องตื่นให้เช้ากว่าเดิม และเริ่มทำงานก่อนเวลาปกติที่เคยทำ โดยค่อยๆ ปรับเวลาให้เร็วขึ้นทีละน้อยในแต่ละวัน อาจเริ่มจากปรับเวลาเริ่มงานเร็วขึ้น 5 นาทีจากเดิม (แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 10-15-20-30 นาที ไปจนถึง 2 ชั่วโมง) ให้คุ้นชินไปเรื่อยๆ คีย์สำคัญคือความต่อเนื่องอย่าหยุดกลางคัน เมื่อทำได้ตามเป้าหมาย เราก็จะรู้สึกประสบความสำเร็จ และลดความรู้สึกเชิงลบต่อการทำงาน

10 แนวคิดการทำงานปี 2025 เพิ่มประสิทธิภาพชาวออฟฟิศ เก่งขึ้นกว่าเดิม!

2. ฝึกพูดคำว่า “ไม่” เพื่อยืนยันขอบเขตการทำงานของคุณ

การเป็นคนที่มักจะตอบตกลงหรือ Say Yes! ไปกับคำร้องขอของทุกคน และทุกเรื่องในการทำงาน ดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องที่ดีต่อทีม ทำให้คนพูดดูเป็นคนใจดีหรือน่าดึงดูดใจ แม้ว่าจะรู้เต็มอกว่าตัวเองกำลังรับภาระมากเกินไปก็ตาม หากทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็อาจทำให้ชีวิตการงานพังได้ เช่น ทำงานไม่ทัน ทำงานไม่เสร็จ เกิดแรงกดดัน และเสียสุขภาพจิตหนักกว่าเดิม

ดังนั้น การกำหนดขอบเขตที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณมีเวลาที่จะมุ่งเน้นและโฟกัสงานในขอบเขตของตัวเอง เพื่อทำมันออกมาได้ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น หากมีใครขอให้ช่วยทำงานแทรกอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามา นอกเหนือจากงานประจำที่ต้องทำทุกวัน หากวันนั้นงานประจำของตนเองค่อนข้างเยอะ งานยาก หรืองานจุกจิกยุ่งเหยิงพันตัวอยู่ ก็ควรปฏิเสธที่จะทำงานชิ้นนั้นไป เก็บแรงไว้ทำงานตรงหน้าให้กสำเร็จด้วยดีก่อน นอกจากนี้ การกำหนดขอบเขตยังช่วยขจัดสิ่งรบกวนเพื่อให้คุณทำงานตามลำดับความสำคัญได้

3. จัดลำดับความสำคัญของงาน คัดกรองงานที่ไม่จำเป็นออกไป 

“การกำจัดงานที่ไม่มีประโยชน์” เป็นจุดแรกที่ต้องพิจารณาหากคุณคิดที่จะปรับปรุงวิธีการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น หากมีงานสำคัญที่จะต้องทำให้เสร็จวันนี้ กับงานหยุมหยิมที่ไม่ค่อยสำคัญ แม้ว่าต้องทำให้เสร็จเหมือนกัน แต่ก็ต้องตัดทิ้งไปก่อน รู้จักคัดกรองงานที่ไม่จำเป็นของวันนี้ออกไป แล้วโฟกัสทำงานที่สำคัญของวันนี้ให้เสร็จ 

นอกจากนี้ก็ต้องรู้จักจัดลำดับความสำคัญของงานว่า งานไหนต้องใช้เวลามาก งานไหนที่ใช้เวลาน้อย ให้คุณเลือกทำงานที่ต้องใช้เวลามากก่อน และเก็บงานที่ใช้เวลาน้อยไว้ทำทีหลัง เพราะหากคุณเลือกที่จะทำแต่งานที่ใช้เวลาน้อยก่อน สุดท้ายก็อาจทำงานที่ต้องใช้เวลามากไม่เสร็จตามกำหนด เมื่อจัดลำดับความสำคัญของงานได้แล้ว ให้กำหนดตารางเวลาสำหรับงานแต่ละชิ้น เช่น ระบุรายละเอียดว่า “จะทำงานอะไร ตั้งแต่เวลากี่โมงถึงกี่โมง” เมื่อคุณคุ้นเคยกับการจัดตารางเวลาแล้ว คุณจะสามารถคำนวณได้ว่างานแต่ละชิ้นต้องใช้เวลามากน้อยเพียงใด ช่วยให้งานเสร็จลุล่วงได้ด้วยดี

4. แนวคิดแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ ทำงานเสร็จแบบไม่เครียด

ในเวลาที่งานเข้ามาพร้อมกันทีละมากๆ หรือเป็นงานโปรเจกต์ใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินงานยาวนาน หากรู้สึกว่ารับมือไม่ไหว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้จัดการและรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วยการ “แบ่งงานออกเป็นส่วนๆ” เช่น หากคุณต้องจัดทำเอกสารขึ้นมา 50 ชุด เพื่อส่งหัวหน้า การทำงานทีเดียวทั้ง 50 ชิ้นอาจดูเยอะ ล้นมือ และกังวลว่าจะทำไม่ทันในคราวเดียว 

วิธีแก้คือ ให้กำหนดเดดไลน์ย่อยๆ ขึ้นมาสัก 5 ครั้ง แล้วทยอยทำงานทีละ 10 ชิ้นให้เสร็จตามเดดไลน์ของแต่ละช่วง ทำไปเรื่อยๆ จนครบกำหนดทั้ง 5 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถลดปริมาณงานและภาระที่ต้องดำเนินการในแต่ละครั้งลงได้อย่างมาก และอาจทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นด้วย

10 แนวคิดการทำงานปี 2025 เพิ่มประสิทธิภาพชาวออฟฟิศ เก่งขึ้นกว่าเดิม!

5. อย่าติดกับดัก impostor syndrome คิดว่าตนเองไม่เก่งพอ

คริสตินา เฮเลนา (Christina Helena) ผู้เชี่ยวชาญด้านการพูดในที่สาธารณะและวิทยากร TEDx อ้างถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ค้นพบว่า ผู้คนมากกว่า 80% เผชิญกับภาวะ “impostor syndrome” อาการผิดปกติทางจิตใจ ที่มักรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเก่งพอ ไม่มีค่า สงสัยในความสามารถของตน รู้สึกว่าความสำเร็จที่ได้มาจากปัจจัยภายนอก ซึ่งนั่นอาจทำให้เกิดการใช้คำพูดเช่น “ฉันไม่คู่ควรกับความสำเร็จของฉัน” หรือ “ฉันไม่คู่ควรกับสิ่งนี้” 

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีแก้ไขคือ ให้ถามตัวเองว่า ‘ทำไมเราถึงคิดว่าตนเองไม่สมควรได้รับสิ่งนี้’ หากได้คำตอบว่า เป้าหมายของเราไม่สอดคล้องกับแผนงานความสำเร็จของคนอื่น จงยอมรับความรู้สึกนั้นแล้วปล่อยมันไป เพราะความสำเร็จของแต่ละคนแตกต่างกัน สุดท้ายแล้ว คุณเป็นผู้ตัดสินใจว่าคุณสมควรได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิต คุณรู้ดีว่าทุกวันนี้ทำงานหนักเพื่ออะไร ก็แค่ทำตามเป้าหมายของตนเองต่อไป

6. ทบทวน Career Cycle และเส้นทางอาชีพของตนอยู่เสมอ 

หากวันใดที่รู้สึกติดขัด ท้อแท้ใจ หรือหมดไฟกับการทำงานในอาชีพปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการจมปลักอยู่กับความรู้สึกเชิงลบเหล่านั้นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ประสิทธิภาพมีแต่จะแย่ลง การงานไม่พัฒนาก้าวหน้า และสุขภาพจิตก็แย่ตามไปด้วย ดังนั้น การถอยออกมาเพื่อมองหาเส้นทางอาชีพใหม่ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ได้แปลว่าเรายอมแพ้

เริ่มต้นจากการทบทวน Career Cycle ตัวเองใหม่อีกครั้งว่า เรารักในอาชีพนี้จริงๆ ใช่ไหม พร้อมทั้งประเมินทักษะของตนเองว่าเพียงพอหรือเปล่า รวมถถึงมองหาจุดแข็งของตัวเอง และมองเห็นคุณค่าของตัวเอง จากนั้นให้ค้นหาว่า เป้าหมายตอนนี้เราอยากพาตัวเองไปสู่จุดไหนในสายอาชีพ ลองค้นหาข้อมูลหรือเทรนด์ใหม่อยู่เสมอ หากเจอโอกาสดีๆ ก็ควรคว้าไว้ บางครั้งการอยู่ในที่เดิมเป็นเวลานานๆ ก็อาจเจริญเติบโตช้ากว่า การไปเริ่มต้นที่ใหม่ก็เป็นได้ 

อาจลองทำแพลนเป้าหมายการทำงานขึ้นมาคร่าวๆ ว่าปีนี้เราอยากทำอะไร อยากพัฒนาทักษะไหน อยากก้าวขึ้นตำแหน่งงานไหน อยากมีรายได้เท่าไหร่ ฯลฯ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการลำดับความคิดและวางแผนการทำงานให้ตรงกับเป้าหมายของเรามากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องบริหารจัดการงานปัจจุบันให้ดี รับผิดชอบต่องานในหน้าที่ให้สมบูรณ์

7. เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่หรือทักษะการทำงานใหม่ๆ อยู่เสมอ 

แนวคิดการเปิดใจให้กว้างเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ เปิดใจรับทัศนคติของผู้อื่น รวมถึงการเสริมทักษะใหม่ๆ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการทำงาน ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ตลอดเวลา

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน คุณควรจะเพิ่มทักษะในการพิมพ์แบบสัมผัสเพื่อเพิ่มความเร็วในการพิมพ์ หรือ หากงานของคุณต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ คุณควรจะเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมด้วย การเพิ่มทักษะในการสื่อสารให้คล่องตัวขณะทำงาน ก็จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

8. เห็นคุณค่าของงานที่ตัวเองทำเสมอ

นอกจากการเรียนรู้ทักษะต่างๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานในหน้าที่ของตนเองแล้ว อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องรู้ว่างานหรืออาชีพที่เราทำ มีประโยชน์อย่างไรต่อองค์กรบ้าง ช่วยพัฒนาองค์กรได้อย่างไรบ้าง หรืองานนี้มีประโยชน์อะไรต่อสังคมบ้าง การตระหนักรู้สิ่งนี้จะช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจในการอยากพัฒนาตนเองในการทำงาน

อีกทั้งหากเราไม่รู้คุณค่าของตัวเองและงานที่ทำ อาจทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสำคัญในองค์กร และมองไม่เห็นอนาคตที่เติบโตกับที่นี่ จนอาจทำให้เกิดอาการ Burn Out ไม่อยากมาทำงาน หรือทำงานไปวันๆ และนำพาไปสู่การลาออกในที่สุด

10 แนวคิดการทำงานปี 2025 เพิ่มประสิทธิภาพชาวออฟฟิศ เก่งขึ้นกว่าเดิม!

9. ให้ความช่วยเหลือคนอื่น และรู้จักขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเช่นกัน

เมื่อเราทำหน้าที่หรือภาระงานของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว หากมีเวลาเหลือก็ไม่ควรลังเลที่ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานทุกครั้งที่มีโอกาส สิ่งนี้นอกจากจะแสดงถึงความมีน้ำใจ การเสียสละ และความฉลาดทางอารมณ์แล้ว ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้ภายในทีม หรือแสดงให้หัวหน้าเห็นว่านอกจากสามารถทำงานในขอบเขตงานของตัวเองได้แล้ว เรายังมีความสามารถด้านอื่นๆ ด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อช่วยเหลือคนอื่นแล้ว บางครั้งหากเราติดขัดในงานก็ต้องรู้จักขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเช่นกัน   สิ่งนี้จะช่วยสร้างสังคมของความร่วมมือกัน (Collaborative Environment) การขอความช่วยเหลือในองค์กรช่วยให้เราได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ (Learn New Skill) ของเพื่อนร่วมงานไปด้วยในตัว

10. เอาชนะ “ความกลัวความล้มเหลว” ของตนเองให้ได้

ความกลัวต่อความล้มเหลว อาจทำให้คุณไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายในอาชีพการงาน แม้ว่าความกลัวจะคอยฉุดรั้งคุณไว้ แต่หากคุณต้องการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น สิ่งสำคัญคือ ต้องสร้างความมั่นใจและหาวิธีก้าวผ่านสิ่งที่ยากลำบาก

เพื่อเอาชนะความกลัวนี้ ให้ลองถามตัวเองว่าคุณกลัวอะไรจริงๆ โดยพิจารณาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณประสบความสำเร็จ แทนที่จะถามตัวเองว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากคุณล้มเหลว จำไว้ว่าความล้มเหลวยังคงเกิดขึ้นได้ และนั่นก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่เราต้องอย่าท้อเมื่อล้มเหลว แต่ควรเรียนรู้จากความผิดพลาดและใช้ความผิดพลาดเหล่านั้นเป็นบทเรียนเพื่อพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น สิ่งนี้เป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตทางอาชีพได้อย่างมั่นคง