“พีทีจี”รุกธุรกิจใหม่-นอนออยล์ปั๊มรายได้
พีทีจี ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ธุรกิจนอนออยล์ แตะ 60-70% ใน 5 ปี จากปัจจุบัน 4% เร่งเครื่องผลักดันยอดขาย LPG ดันปาล์มคอมเพล็กซ์ ผลิตไฟฟ้า คาด ไตรมาส 3คลอดโปรดักส์กัญชง ผสมในอาหาร-เครื่องดื่ม ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายน้ำมัน 8-12% รักษามาร์เก็ตแชร์อันดับ 2
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัท ตั้งเป้าหมายจะมีสัดส่วนรายได้ธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-Oil) เพิ่มเป็น 60-70% ภายใน 5 ปี หรือ ปี2568 จากปัจจุบัน มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 4% เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรสูงกว่าน้ำมัน ซึ่งเป็นผลจากลยุทธ์ผลักดันการเติบโตธุรกิจ Non-Oil โดยตั้งเป้าจะเพิ่มสาขา Non-Oil อีก 100-150 สาขา เพื่อให้บริการที่หลากหลายและครอบคลุมทุกพื้นที่ เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ซึ่งตั้งเป้า 5 ปีข้างหน้าจะมีทั้งหมด 2,000 สาขา ทั้งในประเทศไทย และ กลุ่ม CLMV ซึ่ง 70% อยู่ในปั๊มน้ำมัน และ30% อยู่ในนอกปั๊ม และร้านคอฟฟี่เวิลด์ ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงแบรนด์ใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันและผลักดันสู่แบรนด์ชั้นนำต่อไป และร้านสะดวกซื้อแมกซ์มาร์ท (Max Mart) อีกทั้งศูนย์บริการซ่อมบำรุงรักษรถยนต์ออโต้แบคส์ (Autobacs) และอื่นๆ รวมเป็น 870 สาขา
รวมถึง เพิ่มสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG อีก 100-150 สาขา และขยายการให้บริการธุรกิจแก๊ส LPG ครัวเรือน จากการเพิ่มสาขาการให้บริการ Gas Shop อีก 50 สาขา เนื่องจากมีแผนที่เพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายแก๊ส LPG ครัวเรือนให้มีสัดส่วน 40-50% ของปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG ทั้งหมด ส่วนปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG Auto LPG หรือแก๊สสำหรับรถยนต์ คาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 15-20% ส่วนแก๊ส LPG สำหรับครัวเรือน ปีนี้คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เกิดจากการขยายสถานีบริการแก๊ส LPG ที่เพิ่มขึ้น และการขยายการให้บริการแก๊สครัวเรือนให้ครอบคลุมมากขึ้น
โดยปี 2564 บริษัทได้จัดเตรียมงบประมาณลงทุนอยู่ที่ 4,000-4,500 ล้านบาท สำหรับขยายธุรกิจทั้งในธุรกิจหลัก ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน รวมถึงธุรกิจใหม่ ซึ่งในส่วนนี้ แบ่งเป็นสำหรับการขยายสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG อยู่ที่ 3,000-3,500 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจ Non-Oil จำนวน 500 ล้านบาท ได้แก่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และที่เหลืออีกประมาณ 500 ล้านบาท เป็นการลงทุนในธุรกิจใหม่
นอกจากนี้ ยังจะขยายการเติบโตในธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งบริษัทเตรียมความพร้อมเข้ายื่นข้อเสนอโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน เทศบาลเมืองบ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท พลังงานพัฒนา 5 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ PTG โดยจะเป็นโรงไฟฟ้าขนาดกำลังผลิต 6 เมกะวัตต์ ขณะนี้อย่ะระหว่างรอภาครัฐออกประกาศรับซื้อไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาปั๊มน้ำมันPT ที่ปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว 30 แห่ง และจะขยายเพิ่มขึ้นในปีนี้ตามการปรับปรุงปั๊มน้ำมันใหม่อีกประมาณ 30 แห่ง ซึ่งจะช่วยให้บริษัทประหยัดค่าไฟฟ้า
ขณะที่ธุรกิจจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า(EV Charging Station) ในสถานีบริการ(ปั๊ม)น้ำมัน PT บริษัทก็มีการลงนามความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ที่จะขยายสถานี และเตรียมเปิดตัวในวันที่ 16 มี.ค.นี้ ตลอดจนโครงการผลิตไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มของกองทัพบก(ทบ.) บริษัทก็อยู่ระหว่างรอผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการนี้ ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในรเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งบริษัทก็มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและเงินลงทุน
ทั้งนี้ ปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้ามีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) เติบโตอยู่ที่ 10-15% เนื่องจากบริษัทฯ ยังคงเห็นโอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมน้ำมันภาพรวมต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 4,959 ล้านลิตร หรือคิดเป็นเติบโต 5.9% เมื่อเทียบจากปีก่อน และสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมที่มีปริมาณจำหน่ายน้ำมันโดยรวมอยู่ที่ 34,837 ล้านลิตร หรือลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในปีนี้โต 8-12% เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)อันดับที่2
นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่า บริษัท ยังเดินหน้าต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมโอเลโอ เคมิคอล (Oleo Chemical) เป็นต้น จากโครงการ Palm Complex ที่ปัจจุบันสามารถดำเนินโครงการได้เต็มกำลังการผลิต โดยคาดว่า จะต่อยอดผลิตภัณฑ์ ยา และเครื่องสำอาง ซึ่งช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า น่าจะเห็นผลิตภัณฑ์ออกมาวางจำหน่ายได้
ส่วนความคืบหน้าธุรกิจกัญชง บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรที่ได้ยื่นขอใบอนุญาตทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชงจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว รวมไปถึงมีการร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนเพื่อที่จะปลูกกัญชงมารองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ด้วย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการร่วมมือกับพันธมิตร และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชงออกมาจำหน่ายภายใน ไตรมาส2-3 ปีนี้ เพื่อนำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไปจำหน่ายในร้านค้าในเครือของบริษัท ที่มีทั้งร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และร้านเครื่องดื่ม อาทิ MAX Mart ,ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ร้านคอฟฟี่เวิลด์ และ นิวยอร์ก ฟิฟท์อเวนิว เดลี เป็นต้น
อีกทั้งมีแผนจะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ “ร่าเริง” ผสมใบกัญชา ในเร็วๆนี้ โดยจะเปิดจำหน่ายในปั๊มน้ำมัน PT เป็นหลัก ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานและยึดหลักความถูกต้องตามกฎหมายเป็นหลักด้วย โดยเบื้องต้น บริษัท จะไม่เข้าไปดำเนินการในธุรกิจต้นน้ำเพาะปลูกกัญชง เพราะการควบคุมวัตถุดิบยังต้องใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญ อีกทั้งมีผู้เล่นในตลาดนี้อยู่แล้ว แต่ในส่วนของปลายน้ำยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก