ศบค.มท.สั่งผู้ว่าฯ เพิ่มจุดตรวจ-ความถี่ชุดลาดตระเวนชายแดน สกัดลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย
ศบค.มท.สั่งผู้ว่าฯ เพิ่มจุดตรวจ-ความถี่ชุดลาดตระเวนชายแดน สกัดลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พบฝ่าฝืนลงโทษทั้งผู้นำพา-ผู้สนับสนุนเด็ดขาด
วันที่ 27 พ.ค. ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่าตามที่ ศบค.มท. ได้แจ้งเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัด พื้นที่ชายแดน บูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควบคุมการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดนอย่างเคร่งครัด และให้ทุกจังหวัดชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการโรงงานสถานประกอบการ หอพัก เพื่อสร้างการรับรู้และขอความร่วมมือตรวจสอบมิให้รับรายงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเข้าทำงานหรือเข้าพัก โดยที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ซึ่งมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 23 พ.ค.2564 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ดำเนินการเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติงาน
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เน้นย้ำไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาดำเนินการ โดยเพิ่มการจัดตั้งจุดตรวจและเพิ่มความถี่การปฏิบัติงานของชุดลาดตระเวน ทั้งจากกำลังทหารและตำรวจตระเวนชายแดน บริเวณพื้นที่ตามแนวชายแดน เพื่อเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองตามแนวชายแดน รวมทั้งปรับใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เฝ้าระวังและตรวจตราพื้นที่ตามแนวชายแดนตามความเหมาะสม พร้อมทั้งเน้นย้ำผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนทุกจังหวัด เพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองในพื้นที่รับผิดชอบอย่างเข้มงวด ด้วยกลไกการปกครอง ทั้งทางทหาร ตำรวจ และพลเรือน และกลไกภาคประชาชนประชาสังคมที่มีอยู่ รวมทั้งเตรียมความพร้อมของสถานที่และบุคลากรเพื่อดำเนินการตามมาตรการด้านสาธารณสุข ทั้งการเฝ้าระวังและการแยกกัก
นอกจากนี้ สำหรับพื้นที่จังหวัดตอนใน ได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ตรวจกำกับดูแลสถานประกอบการ และเน้นย้ำเอกชนไม่ให้จ้างงานแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในห้วงเวลานี้ หากพบการฝ่าฝืนข้อกำหนด ให้ลงโทษทั้งผู้ที่นำพาและผู้สนับสนุนอย่างเด็ดขาด และให้ภาคประชาสังคม อาทิ อสม. อสส. เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐในการเฝ้าระวังพื้นที่ด้วย