'ณัฐชา'ยันไร้อคติปมวัคซีนกองทัพ ย้ำ 60,000 โดส ต้องส่งถึงกลุ่มเสี่ยงก่อน
'ณัฐชา'ยันไร้อคติปมวัคซีนกองทัพ ย้ำ 60,000 โดส ต้องส่งถึงกลุ่มเสี่ยงก่อน
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ออกมาชี้แจงว่า การที่กระทรวงกลาโหมขอรับการสนับสนุนวัคซีนกับ กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 60,000 โดส เพื่อฉีดให้กับทหารใหม่ที่เพิ่งเข้ารับราชการและปฏิบัติงานร่วมกับครูฝึกในทุกหน่วยทหารทั่วประเทศ ทั้งยังกล่าวว่า หากนายณัฐชาต้องการทราบข้อเท็จจริงส่วนใดก็ขอให้ทำหนังสือสอบถามหน่วยงานราชการโดยตรง พร้อมระบุอีกว่าอย่าดูแคลนทหารชั้นผู้น้อย
นายณัฐชากล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอเรียนไปยังท่านโฆษกกระทรวงกลาโหมให้เข้าใจแจ่มชัดก่อนว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นทหารเกณฑ์มาก่อน ย่อมรู้เห็นและคุ้นเคยวัฒนธรรมกองทัพดีว่านายทหารชั้นผู้ใหญ่จะปฏิบัติต่อทหารชั้นผู้น้อยอย่างไรบ้าง ความเห็นของตนจึงไม่ได้วิจารณ์อย่างมีอคติดังที่กล่าวหา แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเป็นเสียงสะท้อนให้สังคมรับทราบจากมุมมองคนที่เคยอยู่ข้างในมาก่อน
ทั้งนี้ รู้สึกแปลกใจมากกับที่นายทหารระดับสูงของกองทัพที่มีบทบาทหน้าที่ด้านการสื่อสารกลับไม่สามารถจับใจความสำคัญที่ตนพูดเพื่อตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาได้ จึงถามชัดไปยังท่านอีกครั้งว่า คำถามของตนคือกองทัพมีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องเรียกทหารผลัดใหม่ 45,000 นาย เข้าไปฝึกเพิ่มในสถานการณ์เช่นนี้
“เวลานี้กองทัพมีบุคลาการจำนวนหลายแสนนายทั่วประเทศไม่เพียงพอหรือ จะต้องการยอดทหารใหม่ไปเพิ่มเพื่ออะไร หากอ้างการช่วยสถานการณ์โควิด แต่ต้องฝึกพวกเขาอีกเป็นเดือนๆกว่าจะออกไปปฏิบัติงานได้ ควรเอาเวลานั้นไปสนับสนุนให้บุคลากรที่มีให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทันทีจะดีกว่า เวลานี้ท่านยังไม่จำเป็นต้องนำคนจำนวนมากจากทั่วประเทศมารวมกันเพื่อเพิ่มความเสี่ยง เพราะเมื่อเกิดความเสี่ยง คนที่เครียดและต้องรับภาระจากสงครามเชื้อโรคคือ หมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ไม่ใช่กองทัพ และอีกประเด็นที่สำคัญมากคือ หากไม่มีการรับทหารผลัดนี้ก็จะทำให้ไม่มีความต้องการยอดวัคซีนมากกว่าครึ่งแสนโดสจนต้องไปแย่งโควต้าจากคนแก่หรือกลุ่มเสี่ยง หากกองทัพรู้จักรูปธรรมของสงครามที่กำลังเผชิญอย่างแท้จริง เชื่อว่าจะไม่มีคำสั่งแบบนี้ออกมา หากท่านเป็นทหารของประชาชน ท่านจะเลือกสละทรัพยากรที่มีเพื่อสนับสนุนให้ไปยังส่วนสำคัญที่สุดสงคราม ซึ่งเวลานี้คือชีวิตของประชาชนและระบบสาธารณสุขที่กำลังสู้ในด่านหน้า ไม่ใช่เรียกฝึกเพื่อความมั่นคงทางทหาร”
นายณัฐชา กล่าวต่อว่า ในฐานะผู้แทนราษฎรที่ต้องพูดคุยรับฟังประชาชนในทุกๆวัน เข้าใจและทราบดีว่าพี่น้องประชาชนทุกคนต่างรอคอยวัคซีน ไม่เว้นแม้แต่พลทหาร แต่อย่างที่พูดไปหลายครั้ง สถานการณ์เช่นนี้ ฝึกก็ไม่ได้ รวมหมู่รวมแถวก็ไม่ได้ และหากท่านใส่ใจความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชาจริง ขอให้ไปสอบถามความต้องการจริงๆในกองทัพของท่าน เพราะตนได้รับข้อมูลจากนายทหารชั้นประทวนและนายทหารชั้นสัญญาบัตรสะท้อนมามากมายว่า เขาไม่อยากให้เปิดรับทหารใหม่ เพราะกังวลว่าการรับคนจำนวนมากมาจากทั่วสารทิศจะนำเชื้อเข้ามาด้วย พวกเขาต้องการความปลอดภัย ไม่ใช่ยอดจำนวนเหมือนที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ต้องการ ซึ่งท่านรู้อยู่แก่ใจดีว่ายอดเหล่านี้หมายถึงแรงงานไพร่ฟรีจากภาษีประชาชนที่ไม่มีปากเสียงหรือหมายถึงยอดของบัตรเอทีเอ็มที่จะนับได้ในแต่ละปีใช่หรือไม่
“นอกจากนี้ ท่านยังจะต้องตอบให้ชัดว่า การรับทหารผลัดใหม่หมายถึงการที่กองทัพต้องเตรียมพร้อมรับมือกับเชื้อโรค จึงต้องมีการคัดกรองและควบคุมโรค หรือต้องเตรียมมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มข้น เช่น การเตรียมยานพาหนะเพื่อรับส่งหรือเคลื่อนย้ายกำลังพล การคัดกรองเฝ้าระวังแยกตัวเพื่อควบคุมโรค 14 วัน การคัดแยกและส่งต่อผู้ป่วยหากพบการติดเชื้อไปยัง รพ.สนาม คำถามของผมคือ ถ้ากองทัพสามารถเตรียมความพร้อมด้านสาธารณะสุขได้ดี เพื่อรองรับจำนวนคนได้มากถึง 45,000 คนขนาดนี้ ทำไมจึงไม่คิดใหม่เพื่อนำทรัพยากรทั้งคนและเครื่องมือเหล่านี้ ไปสนับสนุนช่วยเหลือด้านสาธารณะสุขอย่างเต็มที่ เพราะท่านจะสามารถจัดทำเป็นพื้นที่แรกรับผู้ป่วยที่จะรับได้อีกมากถึง 45,000 เตียง นี่คือสิ่งที่ประชาชนกำลังขาดแคลนและต้องการมากในขณะนี้ ซึ่งท่านมีความพร้อมที่จะทำได้ เหตุใดจึงไม่ทำในสิ่งที่ควรทำเพื่อประชาชนบ้าง”
ประเด็นสุดท้าย การที่ท่านระบุว่า หากตนต้องการข้อมูลส่วนใดให้ทำเอกสารเพื่อขอจากหน่วงงานราชการเข้าไป ต้องเรียนให้ทราบว่า การเป็นผู้แทนราษฎรในสถานการณ์เช่นนี้จะต้องรวดเร็วเปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกความคิดเห็นและทุกการกระทำต่อสาธารณะ เพราะเจ้านายของพวกเราคือประชาชน ไม่จำเป็นต้องรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาท่านใด การปกป้องผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนจึงสามารถทำได้ทันที ไม่ต้องรอดำเนินการไปตามลำดับชั้น ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงแค่ตนเท่านั้นที่อยากรู้ แต่คือพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่ต้องการทราบว่า กองทัพมีความจำเป็นใดในการระดมกำลังพลจำนวนมาก ในสถานการณ์เช่นนี้
นอกจากเหตุผลด้านสาธารณสุขแล้ว ยังเป็นเรื่องปากท้องของพวกเขาด้วย เพราะในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ พลทหารจำนวนมากคนคือหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของครอบครัว แค่จะประคองตัวให้ได้ตอนนี้ก็ยากแล้ว แต่ท่านยังไปเอากำลังแรงหลักของบ้านมาเป็นแรงงานฟรีในกองทัพอีก คำสั่งที่ไร้หัวใจ ไม่เห็นใจประชาชนเช่นนี้ไม่รู้ว่าผ่านออกมาได้อย่างไร
“พูดตามตรงว่า หากทำหนังสือไปสอบถาม ก็ไม่มั่นใจว่าจะกี่วันกี่เดือนกว่าหนังสือนั้นจะส่งกลับมา เผลอๆพวกท่านก็ได้วัคซีนไปฉีดกันหมด สุดท้ายนี้ ผมอยากฝากไปยังโฆษกกลาโหมว่า ท่านควรปรับตัวให้เข้ากับบริบทสังคมที่ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศได้แล้ว ท่านต้องพูดจากันแบบตรงไปตรงมา ต้องกล้าแลกเปลี่ยนและเปิดเผยข้อมูลกันทางสาธารณะให้สมกับความภาคภูมิใจที่พวกท่านมีให้ประชาชนและกำลังพลของท่าน” นายณัฐชา ระบุ