ปลุกดีมานด์ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เคาะสูตร ‘7+7’ เที่ยวข้ามเกาะ
“ททท.” ชง “ศบศ.” 22 ก.ค. พิจารณาแผนเปิดพื้นที่นำร่องแบบเที่ยวข้ามเกาะ หรือ “ไอแลนด์ ฮอปปิง” เขย่าสูตร 7+7 เชื่อม “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” อยู่ครบ 7 คืนแรก ข้ามเที่ยวเกาะอื่น 7 คืนหลัง 3 พื้นที่ “สุราษฎร์ฯ-กระบี่-พังงา” หนุนดีมานด์ต่างชาติเที่ยวไทย
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ในที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) วันที่ 22 ก.ค.นี้ จะเสนอให้ ศบศ.พิจารณาแผนเปิดการท่องเที่ยวเชื่อมโยงข้ามเกาะ (Island Hopping) ภายใต้สูตร 7+7 กล่าวคือ ผ่อนปรนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วมาเที่ยวโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” แบบไม่กักตัวครบ 7 คืนแรก และได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR 2 ครั้ง เมื่อไม่พบเชื้อ สามารถไปเที่ยว 3 พื้นที่นำร่องในช่วง 7 คืนหลัง ได้แก่ 1.เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี 2.เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เล จ.กระบี่ และ 3.เขาหลัก เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ จ.พังงา เมื่ออยู่ครบ 14 คืนตามสูตรดังกล่าว ถึงจะไปเที่ยวพื้นที่อื่นในไทยได้
“ภาคเอกชนท่องเที่ยวเชียร์สูตร 7+7 โดย ททท.จะเสนอขอเริ่มใช้ 1 ส.ค. เพื่อเพิ่มดีมานด์และสร้างกระแสการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เห็นเป็นรูปธรรม ตามนโยบายของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา สอดรับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่นิยมไปเที่ยวเกาะต่างๆ หากที่ประชุม ศบศ.เห็นชอบ จะเสนอที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค.ต่อไป”
ส่วนประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เมื่อวันที่ 18 ก.ค. มีคำสั่งห้ามสายการบินทำการบินเส้นทางในประเทศเข้าออกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ตั้งแต่ 21 ก.ค. เป็นต้นไป ไม่กระทบต่อการให้บริการเที่ยวบินพิเศษแบบ Dedicated Domestic Flight เช่น เส้นทาง (ไป-กลับ) กรุงเทพฯ-สมุย เพราะมีเฉพาะผู้โดยสารจากต่างประเทศที่เข้าร่วมโครงการพื้นที่นำร่องเปิดประเทศตามที่ กพท.ยกเว้น แต่อาจกระทบต่อการวางแผนของชาวต่างชาติที่ต้องการไปเที่ยวพื้นที่อื่น
โดย ททท.อยู่ระหว่างหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาในเรื่องข้อกฎหมายว่าการบินจากภูเก็ตไปกรุงเทพฯ หรือจังหวัดอื่นๆ สามารถทำได้หรือไม่ โดยเฉพาะกรณีนักท่องเที่ยวที่อยู่ภูเก็ตครบ 14 คืนแล้วต้องการบินเข้าสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อต่อเครื่องบินกลับประเทศหรือไปยังจังหวัดอื่นๆ
“แม้ขณะนี้ภาพรวมยอดผู้ติดเชื้อใหม่ภายในประเทศจะสูงเกิน 1 หมื่นคนต่อวัน และมีล็อกดาวน์ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม แต่ ททท.ยอมแพ้ไม่ได้ ยังคงเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปีนี้ที่ 3 ล้านคน คนไทยเที่ยวในประเทศที่ 90-100 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้รวม 8.5 แสนล้านบาท”
นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา ททท. ผู้รับผิดชอบโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ กล่าวเสริมว่า วันที่ 1-18 ก.ค.ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์รวม 8,377 คน พบผู้ติดเชื้อ 16 คน เมื่อรวมกับยอดผู้ติดเชื้อในประเทศของภูเก็ตอีก 92 คน เป็น 108 คน นับว่ายังไม่เข้าเกณฑ์เกิน 90 คนต่อสัปดาห์ คือยังไม่มีรอบ 7 วันที่มีผู้ติดเชื้อเกิน 90 คน หรือเกิดคลัสเตอร์กระจายใน 3 อำเภอ ถือว่าควบคุมได้ จึงยังไม่ต้องทบทวนโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
สำหรับผู้ที่เดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐ 1,165 คน อังกฤษ 1,058 คน อิสราเอล 907 คน เยอรมนี 529 คน และฝรั่งเศส 478 คน จากจำนวนที่เข้ามา 8,377 คน มีวันพักเฉลี่ยกว่า 11 คืน นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งที่อยู่ไม่ครบ 14 คืนก็บินกลับ ผู้ที่อยู่ครบ 14 คืน พบว่าพื้นที่ 5 อันดับแรกที่นิยมเดินทางไปเที่ยวต่อสูงสุด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี 63 คน พังงา 25 คน กระบี่ 19 คน ประจวบคีรีขันธ์ 10 คน และชลบุรี 7 คน
นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. ซึ่งรับผิดชอบโครงการสมุย พลัส โมเดล กล่าวว่า หลังเปิดโครงการ 4 วันแรก (15-18 ก.ค.) มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามา 15 คน ซึ่งเป็นแขกที่ ททท.เชิญมา ทั้งสื่อมวลชน เอเย่นต์ทัวร์ และนักธุรกิจ แต่ที่น่าสนใจคือมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยู่ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ครบ 14 คืนแล้ว เดินทางมาเที่ยวสมุย 57 คน หลังบางกอกแอร์เวย์ส ให้บริการเส้นทางบิน ภูเก็ต-สมุย เมื่อ 15 ก.ค. เชื่อว่าหากมีการผ่อนปรนใช้สูตร 7+7 จะจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางจากภูเก็ตมาเที่ยวเกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่ามากขึ้น ส่วนยอดจองตั๋วบินจากต่างประเทศเข้าเกาะสมุย วันที่ 19-31 ก.ค.มี 101 คน เดือน ส.ค. 92 คน ก.ย. 32 คน และ ต.ค. 22 คน