ส่องแนวทาง 'Sandbox' ในโรงเรียน นำร่อง 100 แห่ง ในส.ค.นี้
กรมอนามัย ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข เตรียมแนวทาง 'Sandbox Safety Zone in School'
ทำกิจกรรมรูปแบบ 'Bubble and Seal' หวังนักเรียนสามารถเรียน onsite ได้ในภาคการศึกษาหน้า นำร่อง 100 โรงเรียนในเดือนสิงหาคมนี้
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ เตรียมแนวทาง Sandbox Safety Zone in School หวังนักเรียนสามารถไปเรียนที่โรงเรียนได้ในภาคการศึกษาหน้า ภายใต้การปฏิบัติตัวตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขกำหนด พร้อมย้ำช่วงนี้พ่อแม่ผู้ปกครองควรดูแลเด็กเป็นพิเศษ เพื่อให้ปลอดภัยจากโควิด-19
วันนี้ (7 ส.ค.64) นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงการประชุมเตรียมการแนวปฏิบัติ Sandbox Safety Zone in School ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมอนามัยได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ เตรียมจัดทำแนวปฏิบัติ Sandbox safety in school ด้วยการจำกัดบุคคลเข้าออกโรงเรียนอย่างชัดเจน และจะมีการคัดกรองโดยใช้วิธี Rapid Antigen Test
เน้นการทำกิจกรรมในรูปแบบ Bubble and Seal ต้องปฏิบัติตามมาตรการของ Thai Stop COVID Plus มีระบบติดตามเข้มงวดของครูและบุคลากรพร้อมเฝ้าระวังสุ่มตรวจทุก 14 วันหรือ 1 เดือนต่อภาคการศึกษา ด้านครู บุคลากรทางการศึกษา มีการประเมินความเสี่ยงผ่าน Thai save Thai สม่ำเสมอ เข้าถึงการฉีดวัคซีนครอบคลุมมากกว่าร้อยละ 85
ส่วนนักเรียนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจะพิจารณาฉีดให้ตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป และในกรณีโรงเรียนมีการเปิดเรียนแล้วแต่ต้องปิดเรียนเนื่องจากมีการติดเชื้อภายในโรงเรียนต้องปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยมีโรงเรียนเข้าร่วมนำร่องจำนวน 100 โรงเรียนในเดือนสิงหาคมนี้
แต่สำหรับโรงเรียนที่ไม่สามารถดำเนินการได้ จะยังคงต้องเรียนในรูปแบบออนไลน์เช่นเดิม รวมถึงมีการกำชับครูไม่ให้สอนต่อเนื่องจนเกินไปด้วย เพราะอาจทำให้นักเรียนประสบปัญหาออฟฟิศซินโดรมจากการนั่งเรียนนาน ๆ ได้ โดยครูอาจต้องปรับเปลี่ยนให้มีกิจกรรมระหว่างเรียนด้วย และเมื่อเด็กสามารถกลับไปเรียนได้แล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองควรดูแลเด็กเป็นพิเศษ โดยให้เว้นห่างไว้ ใส่แมสกัน หมั่นล้างมือ ถือหลัก รักสะอาด และปราศจากแออัดทั้งในบ้านและนอกบ้าน แต่เด็กอาจจะทำได้ไม่เคร่งครัดและไม่ถูกวิธี ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องเป็นผู้ปฏิบัติอย่างเข้มข้นแทนเพื่อลดความเสี่ยงแพร่เชื้อไปสู่ลูก
- ข้อปฏิบัติเพื่อป้องกันโควิด-19 ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง
1) เว้นระยะห่างทุกครั้งที่ออกนอกบ้านและจำกัดการเดินทางเท่าที่จำเป็น และไม่ไปในที่มีคนหนาแน่น เมื่อกลับถึงบ้านควรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
2) สวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นเฉพาะเวลากินอาหาร และไม่กินอาหารร่วมกัน หากจำเป็นต้องดูแลเด็กกินอาหารผู้ปกครองควรแยกหรือเหลื่อมเวลากินอาหาร
3) หมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อย ๆ
4) ผู้ปกครองควรทำงานที่บ้าน และงดการเยี่ยมจากบุคคลนอกบ้านในทุกกรณีและประเมินความเสี่ยงตนเองผ่าน "ไทยเซฟไทย” ทุกวัน หากสังเกตอาการมีไข้สูงกว่า 37.8 องศาเซลเซียส ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก คัดจมูกหายใจไม่สะดวก อาจมีปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ท้องเสีย และถ้ามีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยที่ยืนยันว่าติดเชื้อต้องปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและแยกกักตัว ถ้ามีอาการรุนแรงขึ้น เช่นไข้สูงมากขึ้น เหนื่อย หอบหายใจเร็วต้องรีบพบแพทย์ทันที
- เด็กติดเชื้อ 18,775 ราย
“ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยยังคงพบผู้ติดเชื้อในทุกกลุ่มวัย เฉพาะในกลุ่มเด็กปฐมวัยที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี มีการระบาดอย่างเป็นวงกว้าง ซึ่งจากข้อมูล ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2564 พบมีเด็กต่ำกว่า 6 ปี ติดเชื้อ จำนวน 18,775 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.3 และเสียชีวิต จำนวน 2 ราย เป็นเด็กวัย 1 เดือน และ 2 เดือน และข้อมูลจากกรมควบคุมโรค พบอัตราการเสียชีวิตในเด็ก 0-15 ปี ร้อยละ 0.02 โดยมากกว่าร้อยละ 70 ไม่มีอาการ และกลุ่มเด็กที่เสียชีวิตมักมีโรคประจำตัวร้ายแรงมากกว่าเด็กในกลุ่มเดียวกัน” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว