พาณิชย์เซ็น Mini FTA ไทย-ไห่หน่าน ดันเพิ่มมูลค้าการค้าให้ได้ 12,000 ล้านบาท

พาณิชย์เซ็น Mini FTA ไทย-ไห่หน่าน ดันเพิ่มมูลค้าการค้าให้ได้ 12,000 ล้านบาท

“จุรินทร์”ร่วมเป็นสักขพยานเซ็นเอ็มโอยูไทย-ไห่หน่าน ประเทศจีน ระยะเวลา 2 ปี  ขยายความร่วมมือทางการค้า 5 ด้าน ดันเป้าหมายเพิ่มมูลค้าร่วมกัน 12,000 ล้านบาทภายใน 2 ปี 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยภายหลังการเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือทางการค้า ไทย-ไห่หนาน ระหว่าง นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับนายเฉิน ซี อธิบดีกรมพาณิชย์ไห่หนาน ว่า   มณทล “ไห่หนาน”หรือ“ไหหลำ”ประเทศจีน เป็นชื่อที่คนไทยคุ้นเคยมาช้านาน เนื่องจากไทยมีประชากรเชื้อสายไห่หนานอยู่จำนวนมาก มีการรักษาวัฒนธรรมไห่หนานไว้อย่างเหนียวแน่น และยังมีการรวมกลุ่มที่มีความเข้มแข็งเป็นอย่างมาก ในบรรดาประเทศพันธมิตรทางการค้าของไทย

จีนเป็นประเทศคู่ค้าและตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยมาโดยต่อเนื่อง ด้วยขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่และมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีมูลค่าการค้าระหว่างกันในปีที่ผ่านมา สูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 18.26 % ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศของไทยโดยรวม และสำหรับมณฑลไห่หนานในปี 2563 แม้ว่าโลกจะเผชิญกับผลกระทบจากวิกฤติโควิด 19 แต่การค้าระหว่างมณฑลไห่หนานกับไทยยังคงมีมูลค่าสูงถึงราว 9,233 ล้านบาท หรือ295.07 ล้านดอลลาร์

  162944885747

นายจุรินทร์ กล่าวว่า    เมื่อปลายเดือนพ.ย.ปีผ่านมา ตนได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีเปิดงาน CIIE ครั้งที่ 3 และได้รับฟังคำกล่าวเปิดงานของท่านประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง เกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาจีนในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่ 2 ประเด็น คือ 1. จีนจะสนับสนุนความร่วมมือทางการค้าทั้งพหุภาคีและทวิภาคี  2.จีนจะใช้เขตการค้าเสรีภายในประเทศเป็นพื้นที่ทดสอบนำร่องที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศซึ่งสามารถขยายการเปิดเสรีภาคเศรษฐกิจดิจิทัล และไห่หนานก็ได้อยู่ในแผนการพัฒนาดังกล่าวด้วย โดยวางแผนยกระดับให้ไห่หนานเป็นเมืองท่าการค้าเสรี ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพที่มีของไห่หนานจะส่งผลให้ไห่หนานก้าวขึ้นสู่การเป็นเมืองท่าสากลระดับโลก ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ไห่หนานถือเป็นมณฑลแรกในจีนที่กระทรวงพาณิชย์ไทยได้จัดทำ MOU ร่วมกัน หรือเรียกได้ว่า Mini-FTA โดยกรอบระยะเวลา   2 ปี คือตั้งแต่วันนี้ 20 ส.ค. 2564 ถึงวันที่ 20 ส.ค. 2566 มีเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าร่วมกันให้ได้ 12,000 ล้านบาท  โดย MOU นี้สาระสำคัญ 5 ด้านคือ 1. ด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้าระหว่างกัน 2. ด้านการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการค้า ด้านสินค้า ด้านนวัตกรรมและการตลาดรวมทั้งการส่งเสริมการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระหว่างกันเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้า 3.ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกัน เช่น การเดินทางของนักธุรกิจ การจัดประชุมสัมมนาร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างกัน  4.ด้านการมุ่งขยายมูลค่าการค้าใน 3 สินค้าหลัก ประกอบด้วย สินค้าทางด้านการเกษตร  สินค้าอาหาร สินค้าอุตสาหกรรมและ 5.ความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซ  เช่น การส่งเสริมการค้าผ่านแพลตฟอร์มต่างๆของจีนและไทย ซึ่งจากนี้ก็จะมีการลงนามในมณทลอื่นๆอีก

สำหรับการส่งออกของไทยในเดือนก.ค.นี้คาดว่าน่าจะเป็นตัวเลข 2 หลักอยู่แต่จะน้อยกว่าเดือนพ.ค.และมิ.ย.เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ซึ่งจะส่งผลกระทบไปในส.ค.และก.ย.แต่กระทรวงพาณิชย์จะเร่งรัดผลักดันการส่งออกให้ได้มากที่สุด

นายเฝิง เฟย ผู้ว่าการมณฑลไห่หนาน กล่าวผ่านระบบทางไกลว่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการลงนามครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ในการสร้างกลไกความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพและยาวนาน ต่อจากนี้เป็นการขยายความร่วมมือระหว่างมณฑลไห่หนานและประเทศไทย ทั้งทางด้านธุรกิจการค้า อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว วัฒนธรรมและสังคม เป็นต้น ทั้งสองฝ่ายจะร่วมแบ่งปันโอกาสใหม่ๆ แสวงหาการพัฒนาใหม่ในอนาคตร่วมกัน และขอบพระคุณนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่มีความใส่ใจและสนับสนุนการก่อสร้างท่าเรือการค้าเสรีไห่หนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน และขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยมาท่องเที่ยวและร่วมลงทุนพัฒนาธุรกิจที่มณฑลไห่หนาน

ทั้งนี้ในการลงนามดังกล่าวมีนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายเฝิง เฟย ผู้ว่าการมณฑลไห่หนาน นายหนี เฉียง รองผู้ว่าการมณฑลไห่หนานและเลขาธิการรัฐบาลมณฑลไห่หนาน นายซุน ซื่อเหวิน รองเลขาธิการรัฐบาลมณฑลไห่หนาน ประธานหอการค้าไทย-จีน นายกสมาคมไหหนำแห่งประเทศไทย นายกสมาคมการค้าไทยไหหลำ และทูตพาณิชย์ทั่วโลกและพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดร่วมในพิธีลงนามด้วย