กยท.เดินหน้าสร้างความเข้มแข็งให้ยางไทย ฝ่าโควิด-19
กยท.ฝ่าวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 สร้างความเข้มเข็มให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง เดินหน้าเข้าสู่ภาคธุรกิจ เร่งขับเคลื่อนสวนยางแปลงใหญ่
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า ในช่วงปีงบประมาณ 2564 สถาน การณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่รุนแรง ได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของยางพาราของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่ง กยท.ได้มีการปรับรูปแบบการทำงานใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์นำระบบไอทีเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการมากขึ้น พร้อมออกมาตรการต่างๆช่วยเหลือเกษตรกรและสถานบันเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินโครงการชะลอการขายยางของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง โครงการขยายเวลาการชำระหนี้เงินกู้แก้เกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ประ กอบการยาง เป็นต้น
ซึ่งสามารถช่วยเหลือผลกระทบและรักษาเสถียรภาพราคายางในห้วงเวลาวิกฤตโรคระบาดได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญช่วยรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้ชาวสวนยางไม่ให้หยุดชะงัก ขณะเดียวกันยังได้มีการส่งเสริมการใช้ยางเพื่อเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศอีกด้วย ทำให้สถานการณ์ราคายางวันนี้ยังอยู่ในแนวโน้มที่ดีคือยางแผ่นรมควันราคามากกว่า 50 บาทต่อกิโลกรัม และราคายางก้อนราคาไม่ต่ำกว่า 46 บาทต่อกิโลกรัม
นอกจากนี้ กยท.ได้วางเป้าหมายสำคัญเพื่อต่อยอดความเข้มแข็งให้อุตสาหกรรมยางพาราไทย โดยได้ส่งเสริมการทำสวนยางในรูปแบบแปลงใหญ่ มุ่งหวังพัฒนาเกษตรกรชาวสวนยางสู่การเป็น Smart Farmer ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 5 ด้าน ได้แก่ การลดต้นทุนการผลิต การเพิ่มผลผลิต การพัฒนาคุณภาพ การตลาด การบริหารจัดการ โดยการบูรณาการร่วมกันทั้งในส่วนของเกษตรกร สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง หน่วยราชการ และภาคเอกชน ทั้งนี้ มีการกำหนดเป้าหมายให้มีโรงงานแปรรูปยางพาราครอบคลุมพื้นที่ทุกเขตของ กยท. ทั้ง 7 เขต เช่น โรง งานแปรรูปน้ำยางข้นของสหกรณ์เครือข่ายยางพาราจังหวัดตราด โรงงานแปรรูปน้ำยางข้นที่ อำเภอจะนะ จังหวัดสง ขลา เป็นต้น ทำให้สามารถรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรโดยตรง ลดค่าใช้จ่ายเรื่องขนส่ง สามารถควบคุมคุณภาพผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีราคารับซื้อเป็นธรรม มีตลาดรองรับแน่นอน มีพื้นที่จัดเก็บสินค้า สิ่งเหล่านี้เป็นกลไกที่ช่วยรักษาเสถียรภาพราคายางได้เป็นอย่างดี
"กยท.ได้เริ่มดำเนินการผลักดันเกษตรกรเข้าสู่โหมดธุรกิจให้เป็นผู้ประกอบการได้ ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่าง กยท.กับสถาบันเกษตรกรและโรงงานแปรรูปของภาคเอกชน เปิดโอกาสให้สถาบันเกษตรกรรวบรวมผล ผลิตส่งให้โรงงานเอกชนแปรรูป พร้อมทั้งร่วมมือกันทำการตลาด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้วิธีทำธุรกิจ โดย กยท.
จะสนับสนุนเงินลงทุนเสริมสภาพคล่อง สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อดึงเกษตรกร สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง เข้าสู่ธุรกิจการทำตลาดนอกเหนือจากการขายผลผลิตที่ต้นน้ำให้มากขึ้น เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรได้ดีอีกช่องทางหนึ่ง รวมทั้งยังเป็นช่วยพัฒนาและสร้างความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมยางพาราไทยอีกด้วย" ผู้ว่ากยท.กล่าว
ผู้ว่าการ กยท. กล่าวด้วยว่า กยท. ยังได้ทำการศึกษาความเหมาะสมเพื่อจัดสร้างศูนย์การเรียนรู้นวัตกรรมยางพาราไทยแบบครบวงจร (Rubber Innovation Hub) ภายใต้เนื้อที่ประมาณ 2,000 ไร่ใน จ.นครศรีธรรมราช รูปแบบภายในศูนย์เรียนรู้ฯ จะคล้ายๆ เป็นนิคมอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจร ประกอบด้วยเรื่องของยางพาราไทยครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่เริ่มต้นปลูกยางไปจนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ความรู้เกี่ยวกับพันธุ์ยางพาราไทย เทคนิคการปรับปรุงพันธุ์ แปลงปลูกสาธิต เทคนิคกรีดยาง โรงงานแปรรูป งานทดลองศึกษาค้นคว้าวิจัยยางพาราต่างๆ เป็นต้น ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวไปยืนอยู่ในแถวหน้าของอุตสาหกรรมยางพาราได้อย่างมั่นคง และเป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยางพาราของโลกได้
ส่วนแผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2565 จะดำเนินมาตรการต่างๆเพื่อสร้างความเข้มเข็มให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางต่อเนื่องจากปี 2564 ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การเรียนรู้นวัตกรรมยางพาราไทยแบบครบวงจร จะขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น พร้อมทั้งจะจัดตั้งบริษัทลูกในเครือของ กยท. เพื่อดำเนินการด้านการตลาด นอกจากนี้จะดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นมาตรการทางอ้อมในให้ความช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้สม่ำเสมอในภาวะวิกฤติจากการระบาดโควิด-19 ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบให้ดำเนินการแล้ว