“ไพบูลย์”รอด! ศาล รธน.ข้างมากชี้ยุบพรรคตัวเอง-ย้ายซบ พปชร.เป็นไปตาม กม.
“ไพบูลย์ นิติตะวัน” รอด! “ศาล รธน.” มติเสียงข้างมากชี้การยุบ “พรรคประชาชนปฏิรูป” ชอบด้วยกฎหมาย ย้ายไปสังกัด ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. ได้ตามรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2564 ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัย เรื่องพิจารณาที่ 24/2563 กรณีประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพ ส.ส. ของนายไพบูลย์ นิติตะวัน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (10) ประกอบมาตรา 90 และ 91 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ กรณีนายไพบูลย์ หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนปฏิรูป ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หลังจากที่พรรคประชาชนปฏิรูปสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 91 วรรคหนึ่ง (7) ทั้งที่นายไพบูลย์ ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าพรรคดังกล่าว จนกว่าการชำระบัญชีจะแล้วเสร็จ และมิได้เป็นผู้มีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของนายไพบูลย์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (10) ประกอบมาตรา 90 และ 91 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่
โดยนายไพบูลย์ มอบหมายนายธีรยุทธ สุวรรณเกสร เป็นผู้แทนมาศาล ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญ มอบหมายนายวิรุฬห์ แสงเทียน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้อ่านคำวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญด้วยมติเสียงข้างมาก พิจารณาแล้วเห็นว่า สมาชิกภาพของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ผู้ถูกร้อง ไม่สิ้นสุดลง เนื่องจากการสิ้นสภาพของพรรคประชาชนปฏิรูป ดำเนินการเลิกพรรคโดยถูกต้อง และมีสิทธิ์ในการย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ได้ตามรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องไว้วินิจฉัย ให้นายไพบูลย์ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ประธาน กกต., เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, เลขาธิการวุฒิสภา) จัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องตามที่ศาลกำหนด รวมทั้งเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยศาลรัฐธรรมนูญอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง