"เสรีพิศุทธ์" ห่วง "ศาลรธน." ไฟเขียวกรณี "ไพบูลย์" เปิดช่องขายพรรค

"เสรีพิศุทธ์" ห่วง "ศาลรธน." ไฟเขียวกรณี "ไพบูลย์"  เปิดช่องขายพรรค

หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ฐานะผู้ยื่นเรื่องศาลรธน. วินิจฉัยปมคุณสมบัติ "ไพบูลย์" ห่วงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ สร้างบรรทัดฐาน ซื้อ-ขาย พรรค สร้างปัญหาการเมือง

         พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ฐานะผู้นำยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาคุณสมบัติความเป็น ส.ส. ของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภา ว่า การเลิกพรรคประชาชนปฏิรูปของนายไพบูลย์ นั้นไม่เหมือนกับการยุบพรรค หรือ การขับส.ส.ออกจากพรรค ที่กฎหมายกำหนดให้ส.ส.ต้องหาพรรคสังกัดภายใน 30 วัน แต่กรณีของนายไพบูลย์นั้นกฎหมายกำหนดให้หัวหน้าพรรคอยู่ชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลา ในข้อเท็จจริงพบว่าเลิกพรรค 6 กันยายน 2562 ต่อมา 9 กันยายน 2562 กกต. ประกาศให้เลิกพรรค จากนั้นนายไพบูลย์ได้เข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐทันที โดยไม่อยู่เป็นหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูปจนชำระบัญชีพรรคเเสร็จสิ้น ที่ตามเวลา 30 - 60 วัน ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

 

         พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวด้วยว่า ขอให้ติดตามบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยขัดไปกับข้อกฎหมายจะทำให้เกิดปัญหาภายในประเทศตามมา กล่าวคือ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ในวันที่ 20 ตุลาคม ว่าการกระทำของนายไพบูลย์ทำได้ ต่อมาในวันที่ 21 ตุลาคม พรรคใหญ่ที่มีเงินมีทองมาก หาเงินไว้มากแล้ว ซื้อทุกพรรคให้เลิกพรรค เพื่อไปรวมกับพรรคตัวเอง  ทั้งนี้ตนขอสมมติ ว่าหากมีการซื้อพรรคที่ได้ส.ส. 1 คน รวม 15 พรรค และพรรครวมพลังประชาชาติไทย ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พรรคพลังท้องถิ่นไท ของนายชัชวาลล์ คงอุดม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค, พรรคพลังปวงชนไทย, พรรคชาติไทยพัฒนา รวมได้ส.ส. 40 คน จะทำให้เป็นรัฐบาลอยู่ไปเรื่อยโดยไม่สนใจประชาชน ความถูกต้อง เพราะถือว่ามีเสียงข้างมาก

 

         “การขอเลิกพรรค ถือว่าผิดกฎหมายเป็นการเลี่ยงกฎหมาย เพราะกฎหมายเปิดให้ควบรวมได้ ทั้งนี้หากศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าทำได้ จะทำให้เกิดปัญหา ประเด็นฆ่าล้างผลาญกัน เพราะการตกลงให้เลิกพรรค ต้องจ่ายเงินให้หัวหน้าพรรคเป็นผู้รับเงิน แต่หากลูกพรรคไม่เอาด้วย จะไปสังกัดพรรคอื่น จะทำให้เกิดความสับสน หากมีผู้รับเงินแต่ไม่จ่าย คดีจะเกิดขึ้น อาจจะฆ่าล้างผลาญกัน เพราะจ่ายเงินไม่ใช่น้อยๆ ตอนเลือกตั้งใหม่มีคนติดต่อ มาให้เงินผม 300 ล้านบาทให้ผมเป็นรองนายกรัฐมนตรี ผมไม่เอาด้วย หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่ถูกต้อง ปัญหาเกิดประเทศแน่นอน และเกิดกับการเลือกตั้งสมัยหน้า คะแนนออกมาแล้ว ซื้อทันที ความสับสนจะเกิดขึ้นมากมาย” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว.