สมาคมโบรกชี้คนไทยแห่ลงทุนนอก ครึ่งแรกปี 64 มูลค่าพุ่งแตะ 2 แสนล้าน
“สมาคมโบรก” ชี้นักลงทุนไทยแห่ลงทุนต่างประเทศ หนุนครึ่งแรกปี 64 มูลค่าลงทุนพุ่ง 2 แสนล้าน รับผลตอบแทนดี-ลงทุนบริษัทระดับโลก พร้อมจับมือตลท.พัฒนาสินค้าใหม่เพิ่มเติม ฟาก “บลจ.” แนะกระจายลงทุนหลายสินทรัพย์-ภูมิภาค เหตุนโยบายการเงินปี 65 ผันผวน
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า เทรนด์การลงทุนในปี 2565 คาดว่านักลงทุนจะยังออกไปลงทุนต่างประเทศสูงต่อเนื่อง สะท้อนผ่านช่วง 6 เดือนแรกปี 2564 มูลค่าการลงทุนต่างประเทศพุ่งสูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2 แสนล้านบาท เนื่องจากสร้างผลตอบแทนที่ดีตามความเสี่ยง และปัจจุบันนักลงทุนยังสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายขึ้น อีกทั้งเป็นโอกาสลงทุนบริษัทระดับโลก อาทิ เฟสบุ๊ก และกูเกิล ฯลฯ
รวมทั้งคาดว่าจะมาจากการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีตราสารทุนอ้างอิงสินทรัพย์ต่างประเทศที่พร้อมให้บริการนักลงทุน ช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทุนต่างประเทศ โดยพบว่าในช่วงเวลาเดียวกันตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) ที่อ้างอิงหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นเวียดนาม มูลค่าการซื้อขายเติบโตแตะระดับ 1,000 ล้านบาท จากช่วงแรกอยู่ที่ระดับ 100 ล้านบาท เท่านั้น
ทั้งนี้ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์นักลงทุนร่วมกัน โดยคาดจะเห็นตราสารทุนอ้างอิงสินทรัพย์ต่างประเทศใหม่ๆ ให้นักลงทุนได้ซื้อขาย และยังอยู่ระหว่างพัฒนาการซื้อขายเศษส่วนหุ้น (Fractional Share) เพื่อลดข้อจำกัดในการซื้อขายหุ้นแบบล็อต ซึ่งราคาต่อล็อตของบางหลักทรัพย์ค่อนข้างสูง 400-500 บาทเป็นต้น โดยคาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้การลงทุนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่าน กล่าวคือ จากช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปสู่โลกในช่วงเวลาปกติ จะเป็นช่วงที่นโยบายการเงินทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะส่งผลต่อตลาดการลงทุนต่างๆ ดังนั้น การลงทุนในปี 2565 จึงแนะนำนักลงทุนกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ รวมถึงกระจายความเสี่ยงในภูมิภาคที่เข้าลงทุน
สำหรับการจัดพอร์ตความเสี่ยงระดับกลาง คาดหวังผลตอบแทน 3.6% แนะนำกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ (Fixed Income) 68% หุ้น 22%ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) 4% ทองคำ 4% และน้ำมัน 2% ในส่วนของการลงทุนหุ้นแนะนำกระจายไปยังยุโรป 19% สหรัฐ 18% อินเดีย 17% ไทย 17% ญี่ปุ่น 16% และจีน 12%