"กัลฟ์-ปตท." คิกออฟแหลมฉบังเฟส 3 ปั้นท่าเรืออัฉริยะ EEC
อีอีซี เผยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลักก้าวหน้าครบทุกมิติ ดีเดย์ลงนามสัญญา ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 จีพีซี เพิ่มความสามารถรับตู้สินค้าสูง 18 ล้านตู้ต่อปี พร้อมพัฒนาเป็นท่าเรืออัจฉริยะ ก้าวสู่ประตูขนส่งสินค้าเชื่อมเอเชียสู่ระดับโลก
วันนี้ (25 พ.ย. 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกนามสัญญาร่วมลงทุน โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ระหว่าง การท่าเรือแห่งประเทศไทย และ บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด ซึ่งมีกลุ่มกัลฟ์ กลุ่ม ปตท.ร่วมถือหุ้น ซึ่งเป็นภาคเอกชนที่เสนอผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินที่ภาครัฐได้รับดีที่สุด เป็นไปตามเอกสารการคัดเลือกเอกชน และมติ ครม.ได้อนุมัติไว้ เพื่อร่วมกันลงทุนพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และส่วนท่าเทียบเรือ F ณ ห้องบอลรูมโรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ
โดยมีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) นายโชคชัย ปัญญายงค์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สกพอ. พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงคมนาคม และการท่าเรือแห่งประเทศไทย รวมถึงผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยาน
ทั้งนี้ ผู้ร่วมลงนามสัญญาโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังฯ ประกอบด้วย เรือโท ยุทธนา โมกขาว รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายบริหารการเงินและกลยุทธ์องค์กร รักษาการแทนผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย และนายรัฐพล ชื่นสมจิตต์ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ และนายหวัง ไห่กวง กรรมการบริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด
โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ถือเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสำคัญ ที่ สกพอ. ได้เร่งขับเคลื่อนร่วมกับ การท่าเรือแห่งประเทศไทย และภาคเอกชน จีพีซี โดยวัตถุประสงค์หลัก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือแหลมฉบัง รองรับความต้องการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
โดยก่อสร้างท่าเทียบเรือ สำหรับรองรับเรือสินค้าขนาดใหญ่ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ รวมทั้งพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง (Single Rail Transfer Operator, SRTO2) ก่อสร้างท่าเทียบเรือชายฝั่งระหว่างประเทศ (International Coastal Terminal) ปรับปรุง
สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรภายในท่าเรือ ตลอดจนโครงข่ายและระบบการขนส่งต่อเนื่องที่จำเป็นในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังที่จะเชื่อมต่อกับภายนอกให้เพียงพอ และพร้อมที่จะรองรับการขยายตัวของปริมาณเรือและสินค้าประเภทต่าง ๆ
ทั้งนี้ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างท่าเรือ F1 แล้วเสร็จ สามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568 ส่วนท่าเทียบเรือ F2 จะแล้วเสร็จปี 2572 และเมื่อโครงการฯ ในระยะที่ 3 แล้วเสร็จ จะรองรับความจุตู้สินค้าจาก 11 ล้านตู้/ปี เป็น 18 ล้านตู้/ปี หรือเพิ่มตู้สินค้าไม่ต่ำกว่า 7 ล้านตู้/ปี รับการขยายตัวของปริมาณเรือขนส่งสินค้าทางทะเลเพิ่มขึ้น
รวมทั้งเชื่อมต่อการพัฒนาสู่ท่าเรือบก (Dry port) เป็นศูนย์กลางการค้าบริการขนส่ง ยกระดับไทยเป็นประตูการค้าเชื่อมภูมิภาคเอเชียไปสู่ระดับโลก
สำหรับผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินที่ภาครัฐจะได้รับจากโครงการฯ เป็นค่าสัมปทานคงที่ คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อ TEU (หน่วยนับตู้คอนเทนเนอร์ที่มีขนาด 20 ฟุต)
มีระยะเวลาร่วมลงทุน 35 ปี ซึ่ง ครม. ได้มีมติรับทราบผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมลงทุนของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา
สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังฯ ถือเป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ร่วมระหว่างรัฐ - เอกชน หรือ PPP (Public Private Partnership) ที่ สกพอ. ได้ดำเนินการเพื่อเป็นต้นแบบการลงทุนโครงการสำคัญของรัฐ โดยขณะนี้ โครงสร้างพื้นฐานหลักใน อีอีซี ได้ดำเนินการครบ 4 โครงการ
ทั้งนี้ มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 634,535 ล้านบาท เป็นการลงทุนภาคเอกชน 387,294 ล้านบาท (ประมาณ 61%) และเป็นการลงทุนของภาครัฐ 247,241 ล้านบาท (ประมาณ 39%) นับเป็นความสำเร็จที่เกิดจากการสนับสนุนด้วยดีของภาครัฐ และความร่วมมือจากเอกชนทุกภาคส่วน ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซี จะสร้างความเชื่อมโยงเพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทย จูงใจนักลงทุนทั่วโลก สร้างโอกาส และสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายต่อเนื่อง ช่วยให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และเป็นคำตอบการสร้างอนาคตที่ดี ให้แก่คนไทยทุกคนอย่างยั่งยืน