อัพเดท! เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา สั่งจำคุก "เจ้าสัวเปรมชัย" ไม่รอลงอาญา ส่งเข้าเรือนจำทันที
เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา สั่งจำคุก "เจ้าสัวเปรมชัย" ศาลฎีกาพิพากษาลดโทษ คดีล่าเสือดำ ไม่รอลงอาญา ส่งเข้าเรือนจำทันที สะเทือนอาณาจักรแสนล้าน
ศาลจังหวัดทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา สั่งจำคุก นายเปรมชัย กรรณสูต มหาเศรษฐีอาณาจักรแสนล้าน หรือ เจ้าสัวเปรมชัย จำคุก 2 ปี 14 เดือน ไม่รอลงอาญา ชดใช้ 2 ล้านบาท ทำให้นายเปรมชัย ถูกส่งเข้าเรือนจำทันที ขณะที่คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำคุก 16 เดือนไม่รอลงอาญา , ศาลอุทธรณ์ จำคุก 2 ปี 14 เดือน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ล่าสุด เมื่อเวลา 11.10 น. เจ้าหน้าที่ คุมตัว “เปรมชัย” พร้อมพวก นำตัวไปคุมขังที่ เรือนจำทองผาภูมิ ต่อไป
เปิดคำพิพากษาศาลฎีกา
สำนักงานอัยการสูงสุด เผยแพร่ข่าวคำพิพากษา ศาลฎีกา ระบุว่า คดีนี้เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2561 อัยการจังหวัดทองผาภูมิ ได้ยื่นฟ้องนายเปรมชัย กรรณสูต จำเลยที่ 1 , นายยงค์ โดดเครือ คนขับรถ จำเลยที่ 2 , นางนที เรียมแสน จำเลยที่ 3 , และนายธานี ทุมมาศ พรานป่า จำเลยที่ 4 ในข้อหาร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) โดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาอื่นๆ อีกหลายข้อหา
ต่อมา วันที่ 19 มี.ค. 2562 ศาลจังหวัดทองผาภูมิ พิพากษาจำคุกนายเปรมชัย 16 เดือน , นายยงค์ จำคุก 13 เดือน , นางนที จำคุก 4 เดือน และปรับ 10,000 บาท รอการลงโทษ 2 ปี , และนายธานี จำคุก 2 ปี 17 เดือน โดยยกฟ้องจำเลยบางข้อหา โดยเฉพาะนายเปรมชัย ศาลยกฟ้องในข้อหาร่วมกันเก็บของป่า ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) แต่ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนในข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) แทน
วันที่ 24 พ.ค. 2562 อธิบดีอัยการศาลสูงภาค 7 ได้ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ทุกข้อหา และวันที่ 12 ธ.ค. 2562 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทุกคน ตามที่พนักงานอัยการศาลสูงภาค 7 ยื่นอุทธรณ์ โดยจำคุกนายเปรมชัย 2 ปี 14 เดือน , จำคุกนายยงค์ 2 ปี 17 เดือน , จำคุกนางนที 1 ปี 8 เดือน รอการลงโทษให้ตามศาลชั้นต้น , และจำคุกนายธานี 2 ปี 21 เดือน
หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทุกคน ตามที่พนักงานอัยการได้ยื่นอุทธรณ์แล้ว อธิบดีอัยการศาลสูงภาค 7 จึงมีคำสั่งไม่ฎีกา ครั้งต่อมาวันที่ 31 มี.ค.2563 จำเลย 3 ราย ได้แก่ นายเปรมชัย , นายยงค์ , และนายธานี ได้ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา และอธิบดีอัยการศาลสูงภาค 7 ได้แก้ฎีกาเรียบร้อยแล้ว
คดีนี้ ศาลฎีกา พิจารณาแล้ว ได้มีคำพิพากษาวันนี้ (8 ธ.ค. 64) ดังนี้ ฎีกาของจำเลยทั้ง 3 ฟังไม่ขึ้น และไม่มีเหตุรอการลงโทษ แต่ต่อมาได้มีการแก้ไข พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 โดย พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า แก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ. 2562 ให้ยกเลิกมาตรา 55 การกระทำของจำเลยทั้ง 3 จึงไม่มีความผิดในส่วนนี้ ตาม ป.อาญา มาตรา 2 คงจำคุกจำเลยตามศาลอุทธรณ์
ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ แต่ให้ปรับแก้ไขดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่
สำนักงานศาลยุติธรรม เผยแพร่คำตัดสิน ศาลฎีกา พิพากษาลงโทษจำคุก “เปรมชัย กับพวก” คดีล่าเสือดำในเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่า ฯ พร้อมชดใช้เงิน 2 ล้านบาทและดอกเบี้ยแก่กรมอุทยาน ฯ
โดยคดีนี้ พนักงานอัยการจังหวัดทองผาภูมิ เป็นโจทก์
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เป็นผู้ร้อง (ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย)
นายเปรมชัย กรรณสูต จำเลยที่ 1
นายยงค์ โดดเครือ จำเลยที่ 2
นางนที เรียมแสน จำเลยที่ 3
นายธานี ทุมมาศ จำเลยที่ 4
ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
จำเลยที่ 1, 2,และ 4 ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ซึ่งพิพากษาให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานร่วมกันทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ จำคุกคนละ 1 ปี และปรับจำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท
- ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากเสือดำซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ ๖ เดือน และปรับจำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท
- ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากไก่ฟ้าหลังเทาซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ ๒ เดือน และปรับจำเลยที่ ๓ เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท
ลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ฐานร่วมกันล่าเสือดำซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำคุกคนละ ๑ ปี
เมื่อรวมกับโทษจำคุก ๓ เดือน ของจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต กับโทษจำคุก ๖ เดือนของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ในความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธฯโดยไม่ได้รับอนุญาต และโทษจำคุก ๔ เดือนของจำเลยที่ ๔ ในความผิดฐานพยายามล่ากระรอกซึ่งเป็นสัตว์ป่าในเขตพันธุ์รักษาสัตว์ป่าตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดทองผาภูมิ) คงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒ ปี ๑๔ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒ ปี ๑๗ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๓ มีกำหนด ๑ ปี ๘ เดือน และปรับ ๔๐,๐๐๐ บาท และจำคุกจำเลยที่ ๔ มีกำหนด ๒ ปี ๒๑ เดือน โทษจำคุกจำเลยที่ ๓ ให้รอการลงโทษไว้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดแก่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผลของคำพิพากษาศาลฎีกา
สรุปได้ว่าการที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ร่วมกันมีซากเสือดำ
ที่ร่วมกันฆ่าไว้ในครอบครองและสถานที่เกิดเหตุเป็นป่าสงวนแห่งชาติ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย
จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำด้วยประการใด ๆอันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตเพียงกรรมเดียว โดยให้การกำหนดโทษเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗
ส่วนความผิดฐานร่วมกันรับไว้โดยประการใด ๆ ซึ่งซากของไก่ฟ้าหลังเทาซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 55 นั้น ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฯ ได้มี พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ออกใช้บังคับ และให้ยกเลิก พ.ร.บ. เดิม ซึ่งตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ไม่ได้บัญญัติให้การกระทำความผิดตามกฎหมายเดิม
ในมาตรา 55 นั้น เป็นความผิดอีกต่อไป จำเลยทั้งสี่จึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.25๓๕ มาตรา ๕๕ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคสอง
ดังนั้น จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ จึงยังคงมีความผิดฐานร่วมกันมีซากไก่ฟ้าหลังเทาซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่ ส่วนฎีกาข้ออื่นๆของฝ่ายจำเลยฟังไม่ขึ้น
ทั้งนี้ ศาลฎีกามีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗ เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดฐานร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานร่วมกันกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติและกำหนดโทษ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗
ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสี่ในความผิดตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๕๕
สำหรับค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสี่ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ให้แก่กรมอุทยาน ฯ ผู้ร้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ 4 ก.พ. ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๑๐ เม.ย. ๒๕๖๔ และอัตราร้อยละ ๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๑๑ เม.ย. ๒๕๖๔ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
อนึ่ง อัตราดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๑๑ เม.ย. ๒๕๖๔ นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตรา
โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ต้องไม่เกินอัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่ผู้ร้องขอ
นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ค่าฤชาธรรมเนียมคดีส่วนแพ่งของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ในชั้นฎีกาให้เป็นพับ ส่งผลในส่วนของคดีอาญามีการลงโทษจำเลยทั้งสี่ดังนี้
จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒ ปี ๑๔ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒ ปี ๑๗ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๓
มีกำหนด ๑ ปี ๘ เดือน และปรับ ๔๐,๐๐๐ บาท รอการลงโทษมีกำหนด ๒ ปีหากจำเลยที่ ๓ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙,๓๐ จำคุกจำเลยที่ ๔ มีกำหนด ๒ ปี ๒๑ เดือน
...
สื่อมวลชน เฝ้ารอข่าวศาลนัดฟังคำตัดสินฎีกา คดีเจ้าสัวเปรมชัย “ยิงเสือดำ” ป่าทุ่งใหญ่ฯ ที่ ศาลจังหวัดทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี