"ชาติพัฒนา"Come Back "สุวัจน์" ลั่น พร้อมกอบกู้เศรษฐกิจ หลัง "โควิด"
“สุวัจน์”ประกาศ “ชาติพัฒนา” Come Back เตรียมพร้อมนโยบายกู้เศรษฐกิจ หลังเลือกตั้ง หลังโควิด สร้างอีสานเป็นฐานเศรษฐกิจใหม่ เชื่อมโยงภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
วันนี้ 10 ธันวาคม 2564 ห้องประชุมลำปลายมาศ ชั้น 4 โรงแรมแคนทารีน จ.นครราชสีมาพรรคชาติพัฒนา ได้จัดการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2564 ขึ้น โดยมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภอดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา เป็นประธานเปิดการประชุมพร้อมคณะผู้บริหารพรรคร่วมประชุม อาทิ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคฯ, นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ที่ปรึกษาพรรค, นายวัชรพล โตมรศักดิ์ เลขาธิการพรรค, พลเอกฐิติวัจน์กำลังเอก รองหัวหน้าพรรค, นายดล เหตระกูล รองหัวหน้าพรรค,และสมาชิกพรรคทั่วประเทศกว่า 1,500 คน
นายสุวัจน์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 เพื่อที่จะรับรองรายชื่อสมาชิกและงบดุลต่างๆและมีการเลือกคณะกรรมการเลือกตั้งตามกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อให้คณะกรรมการเลือกตั้งไปจัดเตรียมผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งตอนนี้การเมืองเลือกตั้งมาแล้ว 3 ปี เหลือระยะอีก 1 ปีครบเทอม ก็จะมีการเลือกตั้งใหม่ไม่ช้าก็เร็ว ถือว่าเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกันมีการเล่าให้สมาชิกฟังถึงสถานการณ์บ้านเมืองและเศรษฐกิจ และบทบาทที่พรรคชาติพัฒนาจะต้องทำ เราเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจ อันสืบเนื่องมาจากโควิด ส่งผลกระทบเกิดความเสียหายในด้านต่างๆ เราต้องกู้เงิน 2.4 ล้านล้านบาท และ GDP ปีที่แล้วก็ติดลบ 7 และปีนี้น่าจะบวก 1 เปอร์เซ็นต์ ถือว่ามูลค่าทางเศรฐกิจเสียหายมาก นักท่องเที่ยว 40 ล้านคนก็ยังไม่มา และการลงทุนก็ยังไม่ได้เหมือนเดิม ซึ่งพวก SME และผู้ประกอบการ และแรงงานก็ว่างงาน 8 แสนกว่าคน และเมื่อสถานกาณ์โควิดดีขึ้น ตัวเลขเริ่มนิ่ง ถือว่าเป็นความสำเร็จในการที่เรารักษาระดับความนิ่งตรงนี้ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว นักลงทุน เราถึงเปิดประเทศไทยคือ การระดมการฉีดวัคซีนใกล้ถึง 100 ล้านโดสแล้ว และเราต้องมีการกระตุ้นให้คนไทยออกมาเที่ยว ออกมาใช้จ่าย ตามนโยบายรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง, ไทยเที่ยวด้วยกัน, โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจกันอย่างต่อเนื่อง
ในมุมการเมือง นายสุวัจน์ มองว่าสถานการณ์ที่สำคัญที่สุดหลังเลือกตั้ง คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจหลังโควิด ( Post Covid) จะทำยังไงกับเมืองไทยและเรื่องเศรษฐกิจ และการเลือกตั้งครั้งหน้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ส.ส.จากเขต 350 คน เปลี่ยนเป็น400 คน ระบบบัญชีรายชื่อจาก 150 เปลี่ยนเป็น 100 คน ทำให้ยุทธศาสตร์ต้องเปลี่ยนเพราะการเลือกตั้งบัตร 2 ใบ ใบแรกเลือก ส.ส. ใบที่สองเลือกพรรคโดยตรง ซึ่งบัตรที่ 2 มีความสำคัญมาก การเลือกพรรคโดยตรงมีปัจจัยในการตัดสินใจที่สำคัญของพี่น้องประชาชนที่จะเลือกพรรคมีสองข้อคือ 1.นโยบายของพรรค 2.ใครจะเป็นนายก พรรคชาติพัฒนาก็ต้องไปเตรียมนโยบาย ว่านโยบายอะไรแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เพราะเรารู้ว่าสองปีที่ผ่านมามีผลกระทบอย่างมหาศาล
“ผมเชื่อว่าประชาชนอยากเห็นหลังโควิด นโยบายของพรรคในเรื่องการแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจอย่างไร ขอให้สมาชิกพรรคได้มีการจัดทำในเรื่องเศรษฐกิจว่ามีนโยบายเศรษฐกิจอะไร โดยเฉพาะภาคอีสาน เรามีสินค้าการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ เราต้องนำความทันสมัยมาพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรสมัยใหม่ เพื่อพัฒนาสินค้าการเกษตร เทคโนโลยีต่างๆ ในแนวทางของ เศรษฐกิจวิถีใหม่ของโลก “BCG Economy” ซึ่งมี Bio , Circular, Green , เป็นสินค้าเน้นสิ่งแวดล้อม มีสุขอนามัย สินค้าหมุนเวียน คือ ต่อไปอีสานจะมีสินค้าอุตสาหกรรมสมัยใหม่ จะเหมือนในยุคสมัย พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เคยบอกไว้ว่า เอาอุตสาหกรรมมาไว้ที่โคราช แต่วันนี้เป็นอีกยุคหนึ่ง ที่ต้องนำความสมัยใหม่มาพัฒนาอีสานให้อุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งผลิตสินค้าอาหารป้อนโลก ครัวไทยไปครัวโลก ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญ ต่อไปอีสานจะเจริญ โคราชจะเป็นมหานครให้กับอีสาน และอาจจะเติบโตมากกว่านั้น เพราะตอนนี้มีรถไฟรางคู่ มีมอเตอร์เวย์ มีรถไฟความเร็วสูงที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ซึ่งในอนาคตหากโครงการคมนาคมต่างๆ และ Belt and Road Initiative ของจีนแล้วเสร็จจะทำให้ภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนทำให้ในอนาคตอีสานเชื่อมโยงไปจีน ไปรัสเซีย ไปยุโรป ไปแอฟริกาได้ การมีสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์เวย์ รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง เป็นการพัฒนาอีสานอย่างแท้จริง เหมือนการเปิดประตูอีสานสู่อินโดจีน ภาค 2 ซึ่งเราต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ซึ่งพรรคชาติพัฒนาเราเคยได้ 60 เสียง สมัยท่านชาติชาย”นายสุวัจน์ กล่าวและย้ำว่า
“การเมืองวัดกันที่เสียง เสียงน้อยเวลาพูดอะไรไปก็ไม่ได้ยิน เสียงมากพูดอะไรไปก็เสียงดัง เวลารู้ปัญหาหรือรู้แนวคิดดีๆ ถ้าเรามีเสียงน้อยก็ไม่ค่อยได้รับความสำเร็จ ตอนนี้พรรคชาติพัฒนาตัวเล็กเกินไป เราต้องเพิ่มขนาดของพรรค และพรรคชาติพัฒนาจะต้อง ComeBack และReturn เพื่อกลับมาทำงานให้ชาติบ้านเมือง โดยเราสืบทอดตำนานและสืบทอดการทำงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมาจากท่านชาติชาย ข้อดีที่เรามีอยู่ คือ เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ขัดแย้งกับใคร การขัดแย้งทางการเมืองถือว่าเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งทำให้ประเทศชาติขาดพลัง ถ้าการเมืองมีความร่วมมือกัน และไม่ขัดแย้งประเทศชาติก็จะมีพลัง ตั้งแต่ผมเล่นการเมืองมาไม่เคยเห็นพี่น้องประชาชนเดือนร้อนมากที่สุด และระบบเศรษฐกิจเสียหายมากที่สุด ผมคิดว่าหลังเลือกครั้งนี้ พรรคการเมืองต้องร่วมพลังกัน เพื่อแก้ไขปัญหา”
นายสุวัจน์ ย้ำว่า เราต้องยิ่งใหญ่ที่โคราชให้ได้ ต้องคิดว่าโคราชเป็นเหมือนเรือนตายของพรรคชาติพัฒนา ต้องมี ส.ส.ให้มากที่สุด เราเคยได้ส.ส. ถึง15 คนในอดีต เหมือนทีมสวาทแคทแข่งที่บ้านแพ้ไม่ได้ ในยุคนี้ สมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปเราต้องทำอย่างไรหรือปรับกลยุทธ์อย่างไร เพื่อให้มีเสียงมากที่สุด เพื่อให้ได้เข้ามาทำงานให้พี่น้องประชาชนมากที่สุด
“ความพร้อม คือ พรรคชาติพัฒนา ตอกเสาเข็มไว้แล้วให้ไปเตรียมตัวอีก 1 ปี ทำนโยบายเรื่องเศรษฐกิจ และเตรียมตัวคนที่จะถูกเสนอชื่อเป็นนายกของพรรคชาติพัฒนา สองเรื่องนี่คือ ปัจจัยแห่งชัยชนะของการเลือกตั้ง เราจะสร้างอีสานอย่างไร สร้างโคราชอย่างไรเชื่อมโยงกับต่างประเทศและภูมิภาคอย่างไร การแปรสนามรบเป็นสนามการค้า ภาค 2 เปิดประตูสู่อินโดจีน ภาค 2 จะต้องมีนโยบายที่ชัดเจน เพื่อให้พรรคชาติพัฒนาคัมแบล็ค เพื่อมาแก้ไขปัญหาต่างๆให้กับประชาชน”นายสุวัจน์ กล่าว