เกษตรกร เรียกร้องขอ "เขื่อนแควน้อย" ปล่อยน้ำทำนา
เกษตรกร 3 อำเภอ จ.พิษณุโลก รวมตัวขอเขื่อนแควน้อยปล่อยน้ำทำนาในช่วงฤดูแล้งนี้ หลังหยุดการทำนามา 4 ปี ขณะที่ ผอ.เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ได้รับเรื่องเสนอตามลำดับชั้น ระบุว่าน้ำในเขื่อนมีน้ำใช้สำหรับอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศน์ลำน้ำน่านเท่านั้น
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 64 ที่บริเวณที่ทำการเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรจาก 3 อำเภอ ประกอบด้วย ต.ท้อแท้ ต.ท่างาม ต.วัดโบสถ์ อ.วัดโบสถ์ อ.เมือง และ อ.พรหมพิราม กว่า 600 คน โดยมี นายอาทิตย์ สุขแจ่ม อายุ 39 ปีกำนันตำบลท่างาม ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก และนายวินัย รักแก้ว ประธานผู้ใช้น้ำอำเภอวัดโบสถ์ฝั่งขวา เป็นแกนนำทวงถามเนื่องหลังจากได้ยื่นหนังสือ เพื่อขอใช้น้ำในการทำการเกษตร ได้มารวมตัวที่เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เพื่อขอให้ทางเขื่อนปล่อยน้ำเพื่อทำนา โดยมีกลุ่มเกษตรกรผู้ได้รับความเดือดร้อนมาฟังด้วยตนเอง ซึ่งตัวแทนเกษตรกรผู้ได้รับความเดือดร้อน ทวงถามความคืบหน้ากับ นายวรวุฒิ เนียมน้อย ผู้อำนวยการอำนวยการเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และนายศราวุธ จันทวงศ์ นายอำเภอวัดโบสถ์ มาร่วมรับฟังเพื่อแก้ไขปัญหาให้กลุ่มเกษตรกรดังกล่าว
นายวรวุฒิ เนียมน้อย ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ได้เดินทางมารับเรื่องพร้อมกล่าวชี้แจงกับกลุ่มเกษตรกรว่า สถานการณ์น้ำในเขื่อนแควน้ำบำรุงแดนปีนี้เราเก็บน้ำได้เต็ม 969 ล้าน ลบ.ม. แต่ส่งน้ำให้เกษตรกรเพื่อไปใช้ทำนาไม่ได้ เนื่องจากไม่มีอำนาจในการอนุมัติตัดสินใจเปิดปล่อยน้ำได้ ซึ่งตนจะรับเรื่องไว้ เพื่อส่งเรื่องต่อให้ทางกรมชลประทาน และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พิจารณาอนุมัติ เราไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด
นอกจากนี้ แม่น้ำน่าน มีเขื่อน 2 เขื่อนคือ เชื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก ซึ่งเขื่อนสิริกิติ์เป็นเขื่อนขนาดใหญ่ เก็บกักน้ำได้ 9,500 ล้าน ลบ.ม. แต่ปีนี้เขื่อนสิริกิติ์ เก็บกักน้ำได้เพียง 1,600 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งน้อยมาก ขณะที่เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เล็กกว่าเขื่อนสิริกิติ์ 10 เท่า มีความจุน้ำในอ่าง 939 ล้าน ลบ.ม. ปีนี้เก็บน้ำได้เต็มแต่มีน้ำปริมาณน้ำที่สามารถใช้การได้ 890 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น ด้วยปีนี้น้ำในเขื่อนสิริกิติ์เก็บกักได้น้อย ทำให้จำเป็นต้องเก็บกักน้ำไว้เพื่อการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศน์ ซึ่งจากการคำนวณน้ำมีไม่เพียงพอสำหรับทำการเกษตร เพราะต้องใช้เวลา อีก 9 เดือน กว่าฝนจะตกชุกคือเดือนกันยายน ซึ่งช่วงระหว่างนี้ ทางเขื่อนต้องปล่อยน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ โดย 2 เขื่อนรวมกันต้องปล่อยน้ำให้ได้ 100 ลบ.ม./วินาที เพื่อป้องกันปัญหาตลิ่งสไลด์ และทำให้ประชาชนมีน้ำอุปโภคบริโภค ตลอดสายแม่น้ำน่าน ดังนั้นเมื่อเขื่อนสิริกิติ์ปล่อยน้ำ 65 ลบ.ม./วินาที ทางเขื่อนแควน้อยบำรุงแดนเราต้องปล่อยน้ำ 35 ลบ.ม./วินาที
นายอาทิตย์ สุขแจ่ม กำนันตำบลท่างาม กล่าวว่า เกษตรกร อ.วัดโบสถ์ กว่า 2,000-3,000 ราย ได้รับความเดือดร้อน จากการทำนา เนื่องจากที่ผ่านมาทางชลประทานมีการประกาศงดการทำนา มานาน 4ปีแล้ว เนื่องจากน้ำมีไม่เพียงพอ ในปีนี้ทางเกษตรกรจึงได้มารวมตัวเพื่อขอความอนุเคราะห์เขื่อนแควน้อยให้ช่วยปล่อยน้ำเพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ท้ายเขื่อน ได้ทำนาปรัง เพราะว่าปีนี้น้ำในเขื่อนแควน้อยเต็มอ่าง น่าจะมากพอให้เกษตรกรทำนาได้ อีกทั้งชาวนาหลังจากหยุดทำนาก็ไม่มีรายได้ใดมาจุนเจือ จึงอยากขอให้ทางเขื่อนปล่อยน้ำเพื่อให้เกษตรกรทำนา เพราะไม่มีรายได้จากอาชีพอื่น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มเกษตรกรจากพื้นที่อำเภอวัดโบสถ์ อำเภอเมืองและอำเภอพรหมพิราม ได้ขอความอนุเคราะห์ในการใช้น้ำทำนาปรังฤดูกาลเพาะปลูกพืช 2564/65 โดยขอสนับสนุนน้ำชลประทานในการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน 80 ล้านลูกบาศก์เมตร สำหรับพื้นที่เกษตรกรรม 60,000 ไร่ โดยมีเกษตรกรชาวนาจำนวน 2,210 รายได้รับประโยชน์ ขอให้ใช้น้ำในการทำนาปรังฤดูกาลเพาะปลูก 2564/65 ช่วงเวลาระหว่างเดือนธันวาคม 2564 ถึงเดือนมีนาคม 2565 โดยกลุ่มเกษตรกรทั้ง 3 กลุ่มจะยึดแนวทางในการเพาะปลูกและการทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่าโดยวิธีการวางแผนการเพาะปลูกเลือกพันธุ์ข้าวที่มีอายุการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อเก็บไว้ในฤดูกาลถัดไปและการใช้น้ำทำนาแบบเปียกสลับแห้งซึ่งจะช่วยลดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ตัวแทนกลุ่มเกษตรกร ยังคงโอดครวญถึงความยากลำบาก จากการไม่มีน้ำทำนา และไม่มีรายได้เลี้ยงดูคนในครอบครัว ทั้งที่มีเขื่อนตั้งอยู่ในพื้นที่ของตนเอง แต่ต้องเก็บน้ำไปช่วยคนพื้นที่ตอนล่าง ซึ่งไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องน้ำให้คนพื้นที่ทางตอนบนได้เลย ซึ่งหลังจากนี้ ในวันที่ 15 ธันวาคม ชาวบ้านจะมาสอบถามความคืบหน้าจากทางเขื่อนแควน้อยบำรุงแดนว่าจะสามารถช่วยเหลือเกษตรกรให้มีน้ำทำนาได้อย่างไร ก่อนแยกย้ายกลับไปเมื่อเวลาช่วงเที่ยงวันที่ผ่านมา