ศึก รัสเซีย - ยูเครน อ.เจษฎา แนะ 5 ข้อหากเกิด "สงครามนิวเคลียร์" ชี้ไทยกระทบแน่
ศึก รัสเซีย - ยูเครน อ.เจษฎา แนะ 5 ข้อต้องเตรียมหากเกิด "สงครามนิวเคลียร์" ชี้ไทยได้รับผลกระทบด้วย พร้อมถอดบทเรียนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ญี่ปุ่น ให้เห็นภาพกันชัดๆ
วันที่ 1 มีนาคม 2565 รศ.ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ หรือ "อ.เจษฎา" อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ โพสต์เตือนเตรียมตัวรับมือมหันตภัย "กัมมันตภาพรังสี" หากเกิด "สงครามนิวเคลียร์" มีการใช้ "อาวุธนิวเคลียร์" ในศึก รัสเซีย - ยูเครน
โดย "อ.เจษฎา" ระบุว่า จากสถานการณ์ความตึงเครียดระดับโลกในยุโรปตอนนี้ ในศึก "รัสเซีย" กับ "ยูเครน" โดยเฉพาะที่มีการพูดถึงการใช้ "อาวุธนิวเคลียร์" ทำให้หลายคนสงสัยถามมาว่าจะต้องรับมือกับ "กัมมันตภาพรังสี" อย่างไรบ้าง ถ้าเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นในยุโรป
คือถ้าเกิด "สงครามนิวเคลียร์" ขึ้นจริง คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ รวมถึงคนไทยเราคงไม่รอดชีวิตแน่ๆ
แต่ถ้าใช้เพียงจำนวนน้อย หรือเกิดการรั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ถูกทำลาย ก็ยังพอที่ประเทศไทยเราจะยังเอาชีวิตรอดกันได้ อาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากแรงระเบิด แต่น่าจะได้รับผลกระทบทางอ้อม
โดยฝุ่นที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีจากการระเบิดนั้นสามารถแผ่กระจายไปตามกระแสลมได้เป็นบริเวณกว้าง และสามารถทำให้พืชพรรณธัญญาหารและแหล่งน้ำตามธรรมชาติปนเปื้อนและเป็นพิษต่อผู้ที่บริโภคเข้าไป นำไปสู่อาการต่างๆ ขึ้นกับปริมาณของสารรังสีที่ได้รับไป ตั้งแต่การระคายเคือง อ่อนเพลีย อาเจียน ท้องเสีย ผมร่วง เม็ดโลหิตขาวลดลง เสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง และเสียชีวิตได้ถ้าได้รับเข้าไปมากๆ
ลองถอดบทเรียนจากตอนที่เกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี จากการระเบิดของเตาปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น มาดูเป็นแนวทางนะครับ
- ภัยของสารกัมมันตรังสีนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เราอยู่ใกล้ตัวจุดที่เกิดการระเบิดนั้นแค่ไหน ถ้าอยู่เกินรัศมี 30 กิโลเมตร ก็ไม่ต้องกลัวมากจนเกินไป / ถ้าอยู่ในรัศมี 30 กม. อาจได้รับพิษกัมมันตรังสีเข้มข้นแบบเฉียบพลัน มีอัตราเสียชีวิตประมาณ 50% (ที่รอดตาย ก็จะเป็นโรคมะเร็งได้) / ห่างออกไปจากรัศมี 30 กม. จากการระเบิด กัมมันตภาพรังสีจะลดลงไปตามระยะทางที่ห่างออกไป แต่ก็ยังมีพิษแบบเรื้อรัง
- ถ้าอยู่ใกล้กับการระเบิด เราอาจเสียชีวิตจากความร้อน เปลวไฟ และแรงระเบิด ที่ทำลายผิวหนัง เนื้อเยื่อ และอวัยวะภายในได้ / รังสีขนาด 3-4 เกรย์ อาจทำให้ผิวหนังอักเสบ 2-3 สัปดาห์ / รังสีขนาด 100 เกรย์ ทำให้ผิวหนังเน่าเป็นตุ่มนํ้าใน 1-2 สัปดาห์ / หากได้รับรังสีขนาดมากกว่า 30 เกรย์ทั้งร่างกาย อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต จากภาวะหัวใจล้มเหลวและระบบประสาทส่วนกลางถูกทำลาย ภายใน 24-72 ชั่วโมง
- นอกจากจะได้รับรังสีขนาดสูง จนอาจเกิดอาการเป็นพิษเฉียบพลัน (acute radiation syndrome) แล้ว ยังอาจจะมีอาการแบบเรื้อรัง ค่อยเป็นค่อยไป เพราะได้รับรังสีในปริมาณไม่มาก แต่สามารถทำลายดีเอ็นเอ ทำให้เกิดจากกลายพันธุ์ของยีนและนำไปสู่โรคมะเร็ง
- สารกัมมันตรังสีหลายชนิด อาจจะปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม อาหาร อากาศ และนํ้าในบริเวณใกล้เคียง ที่พบบ่อยคือสารกัมมันตรังสีของ ไอโอดีน และซีเซียม โดยเฉพาะซีเซียม 137 มีค่าครึ่งอายุมากกว่า 30 ปี
- ถ้าเกิดสัมผัสสารกัมมันตรังสี ต้องล้างการปนเปื้อนร่างกาย ถอดเสื้อผ้าและเครื่องแต่งตัวทั้งหมด ใส่ในถุงที่ปลอดภัยปิดสนิท เพื่อการทำลายอย่างถูกต้อง อาบน้ำชำระล้างร่างกายทั้งหมดให้สะอาดด้วยน้ำเย็นและสบู่อ่อน ถ้ามีบาดแผลต้องชำระล้างให้สะอาด และปิดบาดแผลป้องกันไม่ให้สัมผัสกับสารรังสีอีก
- ถ้าสูดอากาศ หรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารรังสี ให้ลดการดูดซึมของสารรังสีโดยการแทนที่ด้วยสารอื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่น ถ้าได้รับไอโอดีน-125 หรือ 131 อาจใช้ "ยา SSKI หรือโปแตสเซียมไอโอไดด์" ยับยั้งไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับกับไอโอดีนรังสี (ปรกติแล้ว จะต้องกินก่อนที่จะได้รับรังสีเท่านั้น ถึงจะได้ผล)
- แต่โปแตสเซียมไอโอไดด์ จะป้องกันสารกัมมันตรังสีได้แต่ชนิดไอโอดีนเท่านั้น ป้องกันสารกัมมันตรังสีชนิดอื่น อย่างเช่น ซีเซียม-137, ซีเซียม-134 ฯลฯ ไม่ได้ (และห้ามหาซื้อยามากินเองด้วย เพราะมีความเข้มข้นของไอโอดีนสูงมาก ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา จะมีผลต่อหัวใจและถึงตายได้)
- การนำ "เบตาดีน" มาทาคอหรือผิวหนังเพื่อป้องกันรังสีนั้น เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีประโยชน์ ไม่ต้องทำ
- ถ้ามีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อาจต้องให้น้ำเกลือทดแทน และให้ยาแก้อาเจียน / ถ้าเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ต้องให้ยาลดกรด หรืองดอาหารทางปากชั่วคราว / ถ้าเป็นมาก ต้องเฝ้าระวังภาวะเม็ดเลือดต่ำจากรังสี / ถ้าเม็ดเลือดขาวต่ำ จะติดเชื้อง่าย อาจฉีดยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว / ถ้าโลหิตจาง ต้องบำบัดอาการและพิจารณาให้ยาเพิ่มการสร้างเม็ดเลือดแดง หรืออาจต้องให้เลือด
- การบำบัดรักษาพิษจากรังสีนั้น จริงๆ แล้ว ได้ผลไม่ดีนัก การหลีกเลี่ยงสัมผัสกับสารกัมมันตรังสีจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันภัยจากกัมมันตภาพรังสี
- ใช้เครื่องมือตรวจสารกัมมันตรังสี เช่น ตรวจด้วยเครื่องไกเกอร์เคาน์เตอร์ ซึ่งเป็นกล่องมีเข็มวัด และมีกระบอกจี้ไปใกล้บริเวณที่สงสัยเพื่อตรวจสอบ / หรืออาจใช้แผ่นฟิล์มตรวจอย่างง่ายๆ ถ้ามีรังสี ฟิล์มจะเปลี่ยนเป็นสีดำ / รวมไปถึงการใช้เครื่องมือที่เปลี่ยนสี หรือเรืองแสง เวลามีรังสี
ประเด็นที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การติดตามข่าวสารการแจ้งเตือนภัยให้ทันท่วงทีว่าจะมีสารกัมมันตภาพรังสีเดินทางเข้ามาสู่ประเทศไทยเราหรือไม่
ขอแถมด้วยแนวทางสำหรับการเตรียมตัวเรื่อง "หลุมหลบภัยใต้ดิน" ถ้าใครสามารถทำได้ทัน ก่อนที่จะเกิดสงครามที่ใช้ "อาวุธนิวเคลียร์ขึ้น" และไทยเราอยู่ในรัศมีของสงครามด้วยจริงๆ
5 ข้อที่ควรเตรียมถ้ามีแนวโน้มจะเกิด "สงครามนิวเคลียร์"
- เตรียมหลุมหลบภัยใต้ดิน : โอกาสรอดเดียวเมื่อเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น คือ การหลบไปอยู่ในหลุมหลบภัยใต้ดิน ซึ่งควรเตรียมสะสมเสบียงอาหารไว้ด้วย
- เตรียมเสบียงอาหารให้พร้อม : ควรเตรียมอาหารแห้งที่ให้คาร์โบไฮเดรตสูง เช่น พวกข้าว ถั่วทุกชนิด นมผง น้ำผึ้ง ผลไม้และผักอบแห้ง
- น้ำดื่ม : แหล่งน้ำจืดบนพื้นโลกจะปนเปื้อนไปด้วยกัมมันตรังสี จึงควรกักตุนน้ำจืดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ไว้ที่หลุมหลบภัย ปิดให้สนิทเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารรังสี
- อุปกรณ์ช่วยชีวิต : ไม่ควรลืมยารักษาโรค ไฟฉาย เทปกาว ถุงดำ มีด ไฟแช็ค และหน้ากากกันแก๊สพิษ
- ติดตามข่าวสารต่างๆ : มีอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารแบบง่ายๆ (เช่น วิทยุสื่อสาร แบตเตอรี่สำรอง) ที่ทำให้สามารถติดตามข่าวสารจากทางการได้
ที่มา FB อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์