พลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์รับมือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับสัมมนา Automotive Summit 2023
สถาบันยานยนต์ จับมือ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ ร่วมฉลอง 10 ปี ความร่วมมือจัดสัมมนาด้านยานยนต์ในงาน Manufacturing Expo 2023 และฉลอง 25 ปี ก่อตั้งสถาบันยานยนต์ จัดสัมมนา Automotive Summit 2023 วันที่ 21-22 มิถุนายน 2566 ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ 203 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
สถานการณ์โควิดและกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง โดยตลาดยานยนต์ทั่วโลกในปีนี้มีการเติบโตขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา ดร. เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ ได้กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกว่า ข้อมูลเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 2566 ระบุว่า ทั่วโลกมีปริมาณจำหน่ายยานยนต์ 27.5 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 9 สะท้อนถึง ตลาดยานยนต์ ทั่วโลกที่กำลังฟื้นตัว และปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนเพื่อการผลิตเริ่มคลี่คลาย แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณดังกล่าวยังน้อยกว่าปริมาณจำหน่ายในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 โดยในช่วงเดียวกันของปี 2562 ทั่วโลกมีปริมาณจำหน่าย 31.8 ล้านคัน และคาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมียอดขายรถยนต์ทั่วโลก 86.05 ล้านคัน (ข้อมูลจาก LMC Automotive)
เมื่อพูดถึงสถานการณ์ยานยนต์ไทย ดร. เกรียงศักดิ์ เผยว่า ปี 2566 ไทยคาดการณ์ปริมาณผลิต 1.95 ล้านคัน ขายในประเทศ 9 แสนคัน และส่งออก 1.05 ล้านคัน และในเดือน มกราคม-เมษายน 2566 มีปริมาณการผลิต 625,423 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ตลาดรถยนต์ในประเทศมีปริมาณ 276,603 คัน ลดลงร้อยละ 6 เนื่องจากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน อันเป็นผลจากหนี้ครัวเรือนอยู่ในอัตราสูงและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นเพิ่มขึ้น ปริมาณจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 19,347 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,206 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในขณะที่ตลาดส่งออกมีปริมาณ 353,632 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เป็นผลจากฐานต่ำของปีที่แล้ว เนื่องจากปัจจัยด้านอุปทานที่ขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนเพื่อการผลิต
ดร. เกรียงศักดิ์ กล่าวถึงปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อปริมาณผลิต จำหน่าย และส่งออก ว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศ สำหรับปัจจัยภายนอกประเทศนั้น สถานการณ์ตลาดส่งออกคาดการณ์ว่า ตลาดหลักคืออาเซียนและตะวันออกกลางยังเติบโตร้อยละ 4 และ 6 ตามลำดับ (ข้อมูลจาก IHS Markit) เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ในขณะที่ตลาดออสเตรเลียจะทรงตัว เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศเริ่มชะลอตัวจากหนี้ภาคครัวเรือน อย่างไรก็ดีในกลุ่มตลาดหลักคือ ออสเตรเลียและอาเซียน ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการใช้งาน ยานยนต์ไฟฟ้า มากขึ้น โดยมีทั้งมาตรการด้านอุปสงค์และอุปทาน ทำให้การเติบโตของตลาดส่วนหนึ่งจะมาจากกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งยังไม่ใช่ผลิตภัณฑ์หลักที่ประเทศไทยส่งออก จึงอาจทำให้เสียโอกาสการส่งออกบางส่วน นอกจากนี้ในไตรมาส 1 ปี 2566 การส่งออกรถยนต์จากจีนมีจำนวน 1.07 ล้านคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 58 มากกว่าการส่งออกของญี่ปุ่นที่มีจำนวน 950,000 คัน เนื่องจากความนิยมในยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และความสามารถการแข่งขันของผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของจีนเพิ่มขึ้นมาก ผู้ผลิตรถยนต์ต่างประเทศที่ตั้งโรงงานในจีนเริ่มพิจารณาปรับลดการลงทุน เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับผู้ผลิตรถยนต์ของจีนได้ ผลดังกล่าวอาจจะทำให้การส่งออกรถยนต์ไฟฟ้ามายังประเทศไทยมากขึ้น ทั้งรถยนต์ของจีนและรถยนต์ของต่างประเทศที่ลงทุนในจีน
"ส่วนปัจจัยภายในประเทศนั้น ขึ้นอยู่กับว่านโยบายของรัฐบาลชุดใหม่จะมีทิศทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างไร แต่เชื่อว่า นโยบายของรัฐยังคงมุ่งสู่ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutral) ซึ่งรวมถึง อุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้คาดว่าภาครัฐน่าจะมีมาตรการส่งเสริมยานยนต์คาร์บอนต่ำด้วยเช่นเดียวกัน"
ดร. เกรียงศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากเป้าหมาย 30@30 และมาตรการส่งเสริมการผลิต ยานยนต์ไฟฟ้า ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายจากประเทศจีนตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในการผลิต เนื่องด้วยเหตุผลด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยปัจจุบันมีผู้ผลิตยานยนต์จากจีนลงทุนในไทย 4 ราย ได้แก่ SAIC (กำลังการผลิต 100,000 คันต่อปี), GWM (กำลังการผลิต 80,000 คันต่อปี), BYD (กำลังการผลิต 150,000 คันต่อปี), NETA (กำลังการผลิต 20,000 คันต่อปี) อยู่ระหว่างจัดตั้งธุรกิจ 2 ราย ได้แก่ GAC Aion และ Chang An Automobile และมีแผนลงทุน 1 ราย ได้แก่ Chery Automobile (ปี 2024) ซึ่งเป็นโอกาสการเติบโตของ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ในประเทศ แต่ยังมีประเด็นความท้าทายคือ เงื่อนไขการค้าการลงทุนระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไป มาตรการกีดกันการทางการค้าระหว่างประเทศมีน้อยลง เช่น ข้อกำหนดการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ประกอบกับผู้ผลิตชิ้นส่วนจากจีนมีความสามารถทางเทคโนโลยีสูงกว่าและต้นทุนการผลิตต่ำกว่า ซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถแข่งขันของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศ ดังนั้นการเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการในประเทศจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ โดยงาน Automotive Summit เป็นส่วนหนึ่งของการเผยแพร่องค์ความรู้ทางวิชาการด้านเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งผู้ที่สนใจทั่วไป ได้รับทราบถึงแนวโน้มเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ
งาน Automotive Summit ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Reshape the Future of Thai Automotive Industry" หรือ "พลิกโฉมอนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย" โดยเนื้อหาในงานสัมมนาจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก คือ 1) Transition หรือการเปลี่ยนแปลงในประเด็นต่างๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และ 2) Transformation หรืออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะรับมือการเปลี่ยนแปลงนั้น ได้อย่างไรบ้าง
การสัมมนาในช่วง Transition ประกอบด้วย ประเด็นด้านความยั่งยืน การใช้ไฮโดรเจนที่เป็นพลังงานทางเลือกใหม่ในยานยนต์ และบทบาทของซอฟต์แวร์ที่จะเป็นส่วนสำคัญในเทคโนโลยียานยนต์ และการสัมมนาช่วง Transformation ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมด้านผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ด้านบุคลากร ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และปิดท้ายด้วยนโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โดยในงานสัมมนาได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 40 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์มานำเสนอและแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
"นับเป็นโอกาสดีที่ สถาบันยานยนต์ ได้ร่วมกับ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ จัดสัมมนาในครั้งนี้ภายในงาน Manufacturing Expo และการจัดงานในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ประกอบการในวงการอีกมากมาย ซึ่งทางสถาบันฯ ต้องขอขอบคุณ บริษัท แอเดียนท์ แอนด์ ซัมมิท คอร์ปอเรชั่น จำกัด และองค์กรอีกมากมายที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนการจัดสัมมนาในครั้งนี้ครับ" ดร. เกรียงศักดิ์กล่าว
นางวราภรณ์ ธรรมจรีย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ จำกัด (RX Tradex เดิมชื่อ รี้ด เทรดเด็กซ์) ผู้นำด้านการจัดงานแสดงสินค้าแห่งอาเซียน ผู้จัดงาน Manufacturing Expo เปิดเผยว่า ในทุกๆ ปีช่วงเดือนมิถุนายน อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ จะจัดงาน Manufacturing Expo ขึ้นให้เป็นเวทีกลางให้ผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรมได้พบกับเทคโนโลยี องค์ความรู้ และเครือข่ายธุรกิจใหม่ๆ ในมหกรรมเครื่องจักรและเทคโนโลยีเพื่อการผลิตและอุตสาหกรรมสนับสนุนที่ครบครันที่สุดในอาเซียน โดยรวมเอางานแสดงเครื่องจักรและเทคโนโลยีเฉพาะทางถึง 8 งานไว้ในมหกรรมเดียว ซึ่งปีนี้นับเป็นปีที่ 13 ของ Manufacturing Expo และกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 21 – 24 มิถุนายน 2566 ที่ฮอลล์ 98 – 104 ไบเทค บางนา ความครบครันของงาน Manufacturing Expo นั้นเกิดมาจากการรวมตัวกันของงานแสดงเฉพาะทางที่แสดงนวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับหลากหลายวงการ ทั้งการผลิตพลาสติก แม่พิมพ์และการขึ้นรูป ชิ้นส่วนยานยนต์ การเตรียมพื้นผิว ชุบเคลือบ และทำสีชิ้นส่วน การแสดงหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเพื่อภาคการผลิตและภาคบริการ การผลิตและประกอบอิเล็กทรอนิกส์ การก่อสร้าง บริหารจัดการ และบำรุงรักษาโรงงานและอาคาร และการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มสำหรับหลากหลายสาขาอุตสาหกรรม
นางวราภรณ์ กล่าวต่อว่า หนึ่งใน 8 งานแสดงเฉพาะทางของ Manufacturing Expo นั้นคืองาน ออโตโมทีฟ แมนูแฟกเจอริ่ง (Automotive Manufacturing) ซึ่งเป็นงานแสดงเครื่องจักรและเทคโนโลยีเพื่อการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งครั้งนี้จะจัดขึ้นเป็นปีที่ 18 และจะเป็นศูนย์รวมทุกเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ทั้งการแปรรูปโลหะแผ่น การเชื่อม และการตรวจวัด ผู้รับช่วงการผลิตชิ้นส่วน ที่ผู้ประกอบการในวงการยานยนต์ทุกคนจะได้มาเกาะกระแสรับมือความเปลี่ยนแปลงพร้อมไปกับผู้ให้บริการกว่า 250 แบรนด์จากหลายประเทศ งาน Automotive Manufacturing ในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดว่า The Path to Express Way of Future Automobiles หรือ เส้นทางสู่ยานยนต์แห่งอนาคต เพราะ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ ต้องการให้งานนี้เป็นงานที่ปูเส้นทางให้ผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ได้ทันกระแสความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง EV หรือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน ให้ผู้ร่วมงานได้รับเทคโนโลยีและองค์ความรู้ไปใช้ในการเตรียมพร้อมรับมือและปรับตัวให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
"องค์ความรู้สำคัญที่ผู้ประกอบการจะได้รับจากงาน Automotive Manufacturing ก็คือองค์ความรู้จากสัมมนา Automotive Summit ที่ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ ได้ร่วมมือกับสถาบันยานยนต์มาตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งปีนี้ก็นับเป็นปีที่ 10 แล้วที่เราร่วมมือกันมาตลอด ซึ่งทุกครั้งที่เราร่วมจัดสัมมนานี้ เราก็ไม่เคยผิดหวังเลยในแง่ของเนื้อหาและรายชื่อวิทยากรที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ เพราะหัวข้อและเนื้อหาในแต่ละปีล้วนแล้วแต่นำกระแสและน่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก วิทยากรที่มาร่วมงานก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชำนาญ ทำให้งาน Automotive Summit เป็นโอกาสอันหาได้ยากยิ่งที่เราจะได้พบและเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญจำนวนกว่า 40 ท่านในงานเดียว ผู้ที่เข้าร่วมฟังสัมมนาในงาน Automotive Summit แล้ว สามารถเข้าชมเครื่องจักรและเทคโนโลยีสำหรับการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในงาน Automotive Manufacturing ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งลงทะเบียนเข้าชมงานเดียว สามารถเข้าชมทั้ง 8 งานภายใต้มหกรรม Manufacturing Expo ได้เลย นับว่าคุ้มค่ามากๆ ขอเพียงผู้ชมงานแต่งกายสุภาพ ไม่สวมรองเท้าแตะหรือกางเกงขาสั้น เนื่องจากงานเป็นงานแบบเจรจาธุรกิจ"
ในงาน Automotive Manufacturing จะมีการแสดงเทคโนโลยีหลากหลายประเภทที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดต้นทุน และช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เราจะมีการแสดงเครื่องแปรรูปโลหะแผ่นสำหรับผลิตตัวถังรถ ฝากระโปรงรถ เช่น เทคโนโลยีเครื่องตัดเลเซอร์ 3 มิติ และเครื่องตัดโลหะ เทคโนโลยีเด่นในงานอีกประเภทก็จะเป็นเครื่องวัดที่จะช่วยตรวจสอบว่าชิ้นส่วนที่ผลิตขึ้นมานั้นได้คุณภาพหรือไม่ เช่น โซลูชันที่ช่วยให้สามารถตรวจสอบอนุภาคปนเปื้อนได้เร็วขึ้นผ่านการใช้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงและอิเล็กตรอน สามารถระบุแหล่งที่มาของอนุภาคปนเปื้อนนั้นได้ และจะมีการเปิดตัวเครื่องสแกนวัดชิ้นส่วนที่ไวที่สุดในโลก และยังจะมีผู้รับผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไปแสดงในงานด้วย จึงเรียกว่าเป็นงานที่ครบวงจรสำหรับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์จริงๆ
สำหรับผู้สนใจเข้าฟังสัมมนาใน Automotive Summit สามารถอ่านกำหนดการและลงทะเบียนสำรองที่นั่งได้โดย คลิก แล้วเลือกเมนูสัมมนา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ โทร 0 2686 7222 หรือ อีเมล