เวฟ บีซีจี ดึงองค์กรไทยและต่างประเทศร่วมเวที Unlocking Potential I-RECs in Thailand
เวฟ บีซีจี กระตุ้นองค์กรรัฐ - เอกชนเร่งการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด ดึงลงทุนต่างประเทศ หนุนไทยสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกปี 2573
เวฟ บีซีจี ดึงองค์กรชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศร่วมเวที "Unlocking Potential I-RECs in Thailand" แลกเปลี่ยนประสบการณ์และร่วมขับเคลื่อนการใช้ใบรับรอง พลังงานหมุนเวียน เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนเร่งเพิ่มสัดส่วน พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ชี้หากต้องบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ต้องเพิ่มสัดส่วนให้เป็น 30% ภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) และมากกว่า 50% ก่อนปี พ.ศ. 2583 (ค.ศ. 2040)
นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ร่วมกับองค์กรพันธมิตรชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศ ประกอบด้วย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม, สภาอุตสาหกรรมกลุ่มพลังงานหมุนเวียน, สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET), The International I-Track Standard, การไฟฟ้าฝ่ายการผลิตแห่งประเทศไทย, บริษัท ซุปเปอร์ คาร์บอน เอ็กซ์ จำกัด, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน), บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด, บริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด และ REDEX เมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา เพื่อแลกเปลี่ยนและแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับแนวทาง และทิศทางการขับเคลื่อนการใช้ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable Energy Certificates (RECs) ในไทย ผ่านงานเสวนา Unlocking Potential I-RECs in Thailand
ทั้งนี้ ความสำคัญของการจัดเสวนา เกิดจากความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างเสถียรภาพด้านการ ลดก๊าซเรือนกระจก ที่ประเทศไทยจะต้องดำเนินการภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ในการบรรลุเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส และจากการประชุม COP26 ที่ประเทศไทย ได้ให้คำมั่นในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตั้งเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และเป้าหมายการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065)
ตลอดจนประเทศไทยมีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตามแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564-2573 ได้มีการกำหนดเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด 30% หรือ ลด 166 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และ 40% หรือ 222 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าจากการประมาณการของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) ที่ 555 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยระดับการลดก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นถึง 40% ขึ้นอยู่กับการเข้าถึงกลไก การสนับสนุนทางการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี การเงิน และการเสริมสร้างศักยภาพที่เพิ่มขึ้นและเพียงพอ
"ปัจจุบันการพัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ยังคงไม่เพียงพอ และมีปริมาณ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยมีปริมาณการขึ้นทะเบียนใบรับรอง พลังงานหมุนเวียน เพียง 19 ล้าน RECs ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 จนถึงปัจจุบัน รวมกับคาร์บอนเครดิต มาตรฐาน TVER ที่ 17 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 รวมกันก็เพียงแค่ 26.5 ล้านตัน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2562 ปล่อยมากถึง 372 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เป็นอันดับ 20 ของโลก โดยภาคพลังงานมีสัดส่วนการปล่อยมากถึง 70% ในขณะที่สัดส่วนพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศมีเพียง 10% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด โดยถ้าประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality จะต้องเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดให้เป็น 30% ภายใน พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) และมากกว่า 50% ก่อนปี พ.ศ. 2583 (ค.ศ. 2040)"
นายเจมส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลในปี พ.ศ. 2566 ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ระบุว่ามีความต้องการ (scope 2) จากภาคธุรกิจและโรงงานอุตสาหกรรมที่ประมาณ 134.7 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมง ถ้านำพลังงานสะอาดทั้ง Grid สามารถขึ้นทะเบียน RECs เพียงแค่ 28 ล้านเมกะวัตต์ชั่วโมง โดยในปัจจุบันการเพิ่มสัดส่วนของ พลังงานสะอาด มีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายในการ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของภาคเอกชน และต่อประเทศไทยในเชิงของการดึงดูดการลงทุน (FDI) จากต่างประเทศ โดยเฉพาะบริษัทชั้นนำของโลกที่มีการกำหนดเป้าไปแล้ว และยังมีการพิจารณาเลือกการตั้งฐานบริษัทในต่างประเทศที่ตอบโจทย์ความต้องการเชิงพลังงานสะอาดได้ รวมถึงการที่หลายบริษัทประกาศเป็น RE100 หรือการใช้พลังงานสะอาด 100% ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificates) หรือ RECs เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยประเทศไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยจะเป็นการสนับสนุนการเพิ่มขึ้นและการขยายจำนวนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีความท้าทายมากกว่าประเทศอื่นในภาคตะวันตกที่มีสัดส่วน พลังงานสะอาด มากถึง 70% มีระบบไฟฟ้าที่เปิดเสรี และมีการซื้อขายพลังงานสะอาดระหว่างเอกชน การเปิดเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลก็เพื่อช่วยกันผลักดันให้ทั้งภาคเอกชนและประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายด้านการ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่ตั้งไว้