หุ้นไทยวันนี้ร่วงต่อ รับแรงกดดันเทรดวอร์
บล.กรุงศรี มองตลาดหุ้นไทยวันนี้เป็นลบคาดปรับตัวลงทดสอบแนวรับ 1,680-1,685 จุด จากแรงกดดัน Trade war กลับมาอีกครั้ง หลังสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่เพิ่มขึ้นอีก 10% มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์มีผล 1 ก.ย.
บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี ระบุว่า วานนี้ (1 ส.ค.) SET Index ทรุดตัวลง -12.22 จุด (-0.71%) ปิดที่ระดับ 1,699 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.4 หมื่นล้านบาท จากความกังวล Fund Flow ชะลอตัวหลัง Fed ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% แต่ไม่ส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยอีกในอนาคต นอกจากนี้ความกังวลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่ไม่มีความคืบหน้าก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันดัชนี ทั้งนี้เป็นแรงขายในกลุ่ม Fin, Media และ Cons ส่วนนักลงทุนต่างชาติเป็นฝั่งขายสุทธิ 1,717 ล้านบาท และ Net Short TFEX จำนวน 11,617 สัญญา แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 4,198 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มวันนี้ (2 ส.ค.) เรามีมุมมองเป็นลบคาด SET ปรับตัวลงทดสอบแนวรับ 1,680- 1,685 จุด จากแรงกดดัน Trade war ที่กลับมาอีกครั้ง หลังสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่เพิ่มขึ้นอีก 10% มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์มีผล 1 ก.ย. ซึ่งจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัว รวมถึงความกังวล Demand การใช้น้ำมันกดดันให้ราคาน้ำมันดิบวานนี้ทรุดตัวลงแรงราว 7% ซึ่งเป็นลบต่อกลุ่มพลังงานและปิโตรฯ
นอกจากนี้กระแส Fund Flow ที่พลิกเป็นลบหลัง Fed ไม่ส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยอีกในช่วงถัดไปจะยังคงเป็นตัวถ่วงต่อทิศทางดัชนีอีกด้วย ดังนั้นแนะนำให้รอซื้อช่วงอ่อนตัวโดยเน้นหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน เช่น งบ 2Q19 เติบโตขึ้น รวมถึงหุ้นปันผลครึ่งปีเด่น
ด้านกลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q19 จะเติบโตขึ้น (EA, BGRIM, GPSC, CKP, TU, GFPT, TFG, CPALL, MTC, VGI, PLANB, MINT, VNT, WORK, MAJOR, JMT, PRM) หุ้นปันผลครึ่งปีเด่น (INTUCH, ADVANC, KKP, TCAP, LH, QH)
หุ้นแนะนำวันนี้: KKP (ปิด 72.25 ซื้อ/เป้า 77 บาท) ราคาหุ้นยัง Laggard เมื่อเทียบกับ TISCO ( 3 เดือนที่ผ่านมา KKP +10% แต่ TISCO+20%) ทั้งที่ให้ Dividend yield ใกล้เคียงกันที่ 6-7%ต่อปี โดยที่ KKP มีปันผลระหว่างกาลขณะที่ TISCO จะจ่ายปันผลครั้งเดียว ณ ตอนสิ้นปี ประกอบกับตัวถ่วงของ KKP ใน 1Q19 คือธุรกิจหลักทรัพย์ แต่ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายปรับตัวขึ้นแล้วจึงไม่น่ากังวล อีกทั้งยังมีรายได้จากงาน IB ขนาดใหญ่หลายรายการ อาทิ ดีลควบรวม TMB + TBANK และ ดีล CRC ทำให้แนวโน้มกำไรน่าจะ Bottom ไปแล้ว
EA (ปิด 53.5 ซื้อ/เป้า 63) โดดเด่นในทุกธุรกิจ 1) ธุรกิจโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์และพลังงานลมคาดกำไรสุทธิทำ New high ต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมโครงการหนุมานกำลังการผลิตรวม 260MW ซึ่งเริ่ม COD ตั้งแต่ 1Q19 แต่จะรับรู้รายได้เต็มไตรมาสตั้งแต่ 2Q19, 2) ธุรกิจไบโอดีเซลได้อานิสงส์ภาครัฐส่งเสริมการใช้ B10 และ B20 จากเดิม B7 และ 3) ธุรกิจแบตเตอร์รี่ ล่าสุดได้ Sentiment บวกหลังจากรมว.พลังงานคนใหม่ประกาศสส่งเสริมโครงการ Energy Storage อย่างจริงจัง